เทรนด์รักสุขภาพครองโลก ! โอกาสทอง 'หุ้น NRF'
วิกฤติโควิด-19 กำลังส่งให้ธุรกิจอาหารสุขภาพเติบโตก้าวกระโดด ! สอดรับ 'จุดแข็ง' ของ 'เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์' หุ้นอาหารแห่งอนาคต ! 'แดน ปฐมวาณิชย์' นายใหญ่ โชว์พันธกิจผลักดัน 5 ปีข้างหน้า ยอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท
กระแสคนรักสุขภาพกำลังเป็นเทรนด์ของโลกยุคใหม่ ! และส่งผลดีต่อ หุ้น เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ผู้ประกอบการผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัตที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ
เมื่อ '3 จุดแข็ง' ของ หุ้น NRF กำลังผลักดันธุรกิจเติบโต คือ 1.ธุรกิจส่งออก Ethnic Food ไปยัง 25 ประเทศที่มีอัตราการเติบโตแข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทมีทั้งแบรนด์ของตัวเอง และรับจ้างผลิต (OEM) 2.New S-Curve ในธุรกิจอาหารจากพืช ซึ่งบริษัทถือเป็นบริษัทเดียวใน SET ที่มีธุรกิจดังกล่าว ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 6.4% และตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 30-40% ในปี 2024 สะท้อนความแข็งแกร่งจากการที่บริษัทมีพันธมิตรระดับโลก
และ 3.บริษัทเริ่มธุรกิจใหม่ 2 หน่วย คือ Functional product และ e-commerce ซึ่งทั้งสองธุรกิจนี้จะช่วยเติมเต็มธุรกิจอาหารในระดับโลก คาดการณ์ผลดำเนินงานเติบโต 100% ในปี 2021 และเฉลี่ย 52% ต่อปีในช่วง 2020-2022
ด้วยความ 'โดดเด่น' ดังกล่าว ทำให้หุ้น NRF เข้าซื้อขายวันแรก (9 ต.ค.2563) อยู่ที่ 9.05 บาท พุ่ง 96.74% จากราคาไอพีโอ 4.60 บาท !
ปัจจุบัน NRF แบ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัท 3 กลุ่ม มีมากกว่า 2,000 SKU และมากกว่า 500 สูตรอาหาร สามารถแบ่งเป็นประเภทผลิตภัณฑ์หลักคือ 1. เครื่องประกอบอาหารและเครื่องปรุงรส (Ethnic food) คิดเป็น 89% อาทิ น้ำจิ้ม ซอสปรุงรส ซอสผัด ซอสพริก ซอสปรุงอาหาร น้ำแกง ซุปกระป๋องและซุปผง
2. อาหารและเครื่องดื่มพร้อมรับประทาน (Plant based food) คิดเป็น 7% เช่น ข้าวหรืออาหารประเภทเส้นพร้อมแกงหรือซอสในรูปแบบต่างๆ ในบรรจุภัณฑ์ที่เข้าไมโครเวฟได้เลย ทั้งแบบมีเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมชง และ 3. ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) (Functional product) คิดเป็น 4% เช่น เจลแอลกอฮอล์ล้างมือในบรรจุภัณฑ์ v-shape และในอนาคตบริษัทอาจขยายไปยังผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล
'แดน ปฐมวาณิชย์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF แจกแจงสตอรี่การเติบโตให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า แผนธุรกิจ 3-5 ปี (2563-2567) ตั้งเป้ายอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท โดยจะมาจากสัดส่วนรายได้ในประเทศ 3-5% จากปัจจุบันรายได้มาจากต่างประเทศ 100%
โดย 'กลุ่มอาหารโปรตีนจากพืช' (Plant based Food) มีโอกาสขึ้นแท่นเป็น 'พระเอก' สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนผ่านการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ที่มีอัตราการเติบโตระดับสูง จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 7%
'ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 15-20% จากปี 2562 อยู่ที่ 1,111 ล้านบาท จากการเติบโตของกลุ่มอาหารโปรตีนจากพืชที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19'
สำหรับแผนขยายการลงทุนในปี 2563-2565 คาดจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,068 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Ethnic Food มูลค่าเงินลงทุนรวม 270 ล้านบาท เช่น ขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงกระบวนการผลิตของบริษัท และ City Food 1 ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 35% จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 19,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้บริษัทมีแผนเข้าซื้อหุ้นที่เหลืออีก 85% จากบริษัท ซิตี้ฟูด จำกัด ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.นี้ ซึ่งก่อนหน้าได้เข้าลงทุนในสัดส่วน15% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม และจังหวัดราชบุรี
เขา แจกแจงต่อว่า การลงทุนกลุ่ม 'ธุรกิจอาหารโปรตีนจากพืช' (Plant based Food) คาดใช้เงินลงทุนมูลค่ารวม 408 ล้านบาท แบ่งเป็น การสร้างโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชในประเทศไทย การเข้าซื้อโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชในประเทศอังกฤษและสหรัฐฯ โดยร่วมทุนกับ THE BRECKS COMPANY LIMITED หรือ “เบรคส์” เพื่อจัดตั้งบริษัท Plant and Bean Ltd. ที่ประเทศอังกฤษ โดยปัจจุบัน NRF ถือหุ้นในสัดส่วน 25% และบริษัทมีแผนจะลงทุนเพิ่มอีกสัดส่วน 25% รวมเป็น 50% จะเห็นได้ในช่วงปี 2564
ด้านการลงทุนเพิ่มใน Big Idea Venture และ New Protein Fund I เพื่อได้รับโอกาสในการเพิ่มลูกค้า โดยการเป็น preferred co-packer ให้กับสตาร์ทอัพ พร้อมทั้งได้รับความรู้และเทคโนโลยีล่าสุดของอุตสาหกรรม และลงทุนในเครื่องจักรผลิตเส้นบุกเครื่องที่ 2 เพื่อขยายกำลังการผลิต คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในไตรมาส 4/63
ส่วนการลงทุนในกลุ่ม 'ธุรกิจ Functional Products' หรือ 'ธุรกิจผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shapes)' โดยมีแผนร่วมลงทุนเครื่องจักร V-shape อีก 5 เครื่อง ใช้เงินลงทุนกว่า 90 ล้านบาท หลังบริษัทฯ ได้เข้าทำสัญญากับ Fluid Energy Group LTD ผู้นำนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บริการเครื่องจักร V-shape สำหรับผลิตสินค้า Sanitization เพื่อจำหน่ายในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา และแถบตะวันออกกลาง
และลงทุนใน 'E-Commerce Platform' รวมกว่า 300 ล้านบาท โดยจะร่วมทุนกับ Boosted ECommerce Inc. (Boosted) ใน 2 รูปแบบ คือ ลงทุนในกลุ่มบริษัท Boosted Ecommerce Inc. (Boosted) เพื่อบริหารจัดการธุรกิจ e-commerce ของ Third-party seller บน Amazon e-commerce platform และร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนใน Consumer Package Goods ในอุตสาหกรรมอาหาร (รวมถึง pet food)
โดยปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการส่งออกต่างประเทศ 100% ซึ่งมียอดขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ประมาณ 99% ซึ่งปกติค่าเงินขึ้นลง 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะกระทบอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 1% ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว บริษัทจึงเจรจากับลูกค้าในยุโรป เพื่อเปลี่ยนมารับยอดขายเป็นสกุลเงินยูโร จากปัจจุบันที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าภายในปลายปี 2563-ไตรมาส 1 ปี 2564 จะมีสัดส่วนยอดขายเป็นสกุลเงินยูโรเพิ่มเป็น 15-20% จากปัจจุบันมีสัดส่วนต่ำกว่า 0.1% ทั้งนี้บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าสหรัฐ 30% , ยุโรป 30% และที่เหลือเป็นเอเชียและอื่นๆ
สำหรับ เป้าหมายระยะยาว 'หุ้นใหญ่' บอกว่า มีเป้าหมาย 'ก้าวเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคต Food For Future' ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ ด้วยนโยบายการเป็น The Purpose ? Led Company เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดย NRF จะให้ความสำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) และ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Functional Products)
อย่างไรก็ตาม NRF เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยไม่ได้มุ่งเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อผลกำไรเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการจัดการ Sustainable Supply Chain ตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อ การผลิต จัดเก็บ ขนส่งและจัดจำหน่าย ตลอดจนให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียในทุกฝ่ายตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อเสิร์ฟผลิตภัณฑ์อาหารที่มีรสชาติถูกปากและดีต่อสุขภาพ ให้ผู้บริโภคได้เลือกสรรตามความพึงพอใจ
และที่สำคัญคือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนของโลก สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการบริโภคเนื้อสัตว์และทดแทนด้วยอาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และเข้าถึงกลุ่ม Millennial (Gen me) ที่มีกำลังซื้อมหาศาลได้
ท้ายสุด 'แดน' ทิ้งท้ายไว้ว่า NRF เป็นหุ้นไทยตัวแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนพืชแห่งอนาคต และเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และโอกาสเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืนอีกด้วย