หุ้นส่งออกไร้กระทบระยะสั้น โบรกมั่นใจกำไรปี 63 โตตามคาด
ความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้งจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าในช่วงเดือนพ.ย. มาอยู่ที่ 30.29 บาทต่อดอลลาร์ (18 พ.ย.) จากก่อนหน้านี้ค่าเงินบาท 31บาทปลายๆ ค่อนจะไปที่ 32 บาท
จนทำให้ภาคธุรกิจมีความกังวลว่าหากให้ค่าเงินบาทแข็งค่าไปเรื่อยๆจะยิ่งซ้ำเติมธุรกิจในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกของไทยอาจจะเผชิญปัจจัยลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาได้ สอดคล้องกับสภาอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการให้ค่าเงินหลุดไปสู่ระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ อัตราอ้างอิงควรเกาะกลุ่มกับคู่แข่ง
ที่สำคัญจะต้องมีเสถียรภาพ มีการเคลื่อนไหวที่ไม่ผันผวนจนเกินไป แต่ละวันส่วนต่างการขึ้นลงจะต้องไม่สูงมาก เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ ในการทำการค้าและการลงทุน สร้างความสามารถในการแข่งขันการส่งออกสินค้าไทยช่วงโควิด-19
ปัจจุบันค่าเงินบาทต้นเดือนพ.ย. อยู่ที่ 31.01 บาทต่อดดอลาร์ ล่าสุด มาอยู่ที่ 30.29 บาทต่อดดอลาร์แข็งค่าขึ้น 2.3 % และเมื่อเทียบกับในช่วงต้นปี2563 เดือน ม.ค.ค่าเงินอยู่ที่ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ เท่ากับเป็นการแข็งค่ามากกว่า 8 %
สถานการณ์ค่าเงินบาทยังแข็งค่าเหมือนภาพปี 2562 ที่แข็งค่าถึง7-8 % และยังแข็งค่าอันดับต้นๆของสกุลเงินในเอเชีย จนทำให้เกิดผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่ คือ คำสั่งซื้อที่ลดลง การหาตลาดอื่นทดแทน และสุดท้ายคือภาคการส่งออกของไทยที่หดตัวหนักตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 จนทำให้สิ้นปีตัวเลขการส่งออก ลดลง 2.65 % เป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 4 ปี ตั้งแต่ปี 2558
อย่างไรก็ตามด้วยภาคการส่งออกของไทยปี2563 เผชิญการติดลบต่อเนื่องอยู่แล้วแต่มีสัญญาณดีขึ้นในสินค้าหลายรายการทั้งสินค้าเกษตร แพ็กเกจจิ้ง สินค้าเทคโนโลยีตามความต้องการในช่วงโควิด-19 ระบาดรุนแรงในต่างประเทศ
สินค้าและอุปกรณ์ยานยนต์ที่ส่งออกไปยังตลาดจีนที่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐจีน ทั้งยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 7.4 % ในเดือนก.ย. ที่ผ่านมา จนฉุดสินค้ายางพาราเพื่อใช้ผลิตเป็นล้อรถยนต์ทำราคาในไทยทะลุ 60 บาทต่อกิโลกรัมไปในช่วงต้นสัปดาห์ จากการที่จีนเป็นผู้นำเข้ายางพาราอันดับ 1 ของโลก หรือคิดเป็น 40 %
อย่างไรก็ตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ออกมาระบุแล้วว่าพร้อมใช้มาตรการดูแลค่าเงินเพิ่มเติมหากมีความจำเป็นและติดตามเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้ตลาดเชื่อมั่นค่าเงินบาทจะสามารถทรงตัวและไม่ต่ำไปกว่า 30.10 บาทต่อดอลลาร์
ด้านหุ้นที่อ่อนไหวกับประเด็นค่าเงินบาทหนีไม่พ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มนี้มีสัดส่วนในการส่งออกสูงและบางบริษัทมีโรงงานผลิตในต่างประเทศ ในมุมมองบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ มองว่าหุ้นในกลุ่มส่งออกที่ได้รับผลกระทบแค่ด้านเซนติเมนท์กในการลงทุนด้านจากการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาอย่าง คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อโฟกัสไปที่หุ้นที่คาดว่าจะมีกลับมีปัจจัยเชิงบวกรออยู่คือกำไรในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้อย่างเช่น บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เป็นต้น
เฉพาะ KCE คาดว่ารายได้ในสกุลดอลลาร์จะโตได้ 13% - 17% ตามการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ อัตราการผลิตเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 95% จากไตรมาส 3 ปี2563 ที่ราว 70% อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 24% -25% จากไตรมาส 3 ปี 2563 ที่ระดับ 19% จากอัตรากำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้ได้ Economy of Scale
ดังนั้นประเมินด้วยยอดขายที่โตขึ้นกว่า 15% และ Gross Margin ที่ปรับขึ้นมาเป็น 25% นั้น คาดว่าจะเห็นกำไรไตรมาส 4 ปี2563 เพิ่มขึ้นมาเป็นระดับ 400-500 ล้านบาท เติบโตถึง 90% จากไตรมาสก่อน