"สุริยะ"จับมือหอการค้าเยอรมัน-ไทยแก้มลพิษทางอากาศ
"สุริยะ" หารือหอการค้าเยอรมัน-ไทย ร่วมมือแก้วิกฤตมลพิษทางอากาศระยะยาว หนุนอุตสาหกรรมสีเขียว - เศรษฐกิจหมุนเวียน หร้อมออกกฎหมายอากาศสะอาดแก้มลภาวะระดับลงลึก
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับประธานหอการค้าเยอรมัน-ไทย ว่า เยอรมนีมีความสนใจที่จะร่วมมือกับไทยในการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circu lar Economy) โดยมีความเห็นว่าการส่งเสริมอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ภาคธุรกิจมีความเข้มแข็ง และอยู่ร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน
โดยทางหอการค้าเยอรมัน-ไทย ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียวให้แก่กระทรวง เพื่อหาแนวทางดำเนินงานร่วมกันต่อไป ขณะเดียวกันยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ โดยสนับสนุนกฎหมายอากาศสะอาด (clean air act) ต้องมีการพิจารณาแก้ไขลงลึกถึงสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง และมีการนำมาตรการต่าง ๆ มาใช้อย่างจริงจัง
ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการประกอบอุตสาหกรรมตามกรอบแนวคิดขยะเหลือศูนย์ (Zero waste) และเศรษฐกิจหมุนเวียน สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ประกอบกับขณะนี้เกิดปัญหามลภาวะทั่วโลก และในประเทศไทยมีปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ดังนั้นหากภาคอุตสาหกรรมมีส่วนช่วยผลักดันจิตสำนึกส่วนนี้จะส่งผลดีในระยะยาว พร้อมกันนี้อุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากทุกตลาดทั่วโลก เป็นผลดีต่อการทำธุรกิจระยะยาวเช่นเดียวกัน
“ประเด็นที่หอการค้าเยอรมนีหารือเป็นสิ่งที่กระทรวงให้ความสำคัญอยู่แล้ว ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมก็มีแผนที่จะดำเนินงานในส่วนที่เป็นมาตรการระยะยาวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ มีแผนปรับจากมาตรฐานยูโร 4 ที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นการใช้มาตรฐานยูโร 5 และ 6 ในอนาคตอันใกล้นี้ พร้อมทั้งการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เป็นต้น โดยยอมรับว่าทุกการเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งต้นทุนแก่ผู้ประกอบการ อย่างไรก็ดี จะเป็นผลดีต่อสังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ในระยะยาว ซึ่งเราก็พยายามปรับไปตามความเหมาะสมของกระแสโลก” นายสุริยะ กล่าว
นายอันเดร ริชเตอร์ ประธานหอการค้าเยอรมัน-ไทย กล่าวว่า ขณะนี้ไทยยังมีปัญหาฝุ่นละอองซึ่งส่งผลต่อสภาพอากาศ จึงเล็งเห็นว่าหากทั้ง 2 หน่วยงานมีความร่วมมือกัน เยอรมนีในฐานะประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รวมทั้งมีบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมและทำงานอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว หากทางกระทรวงฯ ช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการของเยอรมนีด้วย ก็จะส่งผลให้การลงทุน และการทำงานราบรื่น ซึ่งน่าจะช่วยกันแก้ปัญหาและมุ่งไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมรักษ์โลก ตอบโจทย์เทรนด์ของโลกในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
“ขณะนี้ทุกตลาดทั่วโลกมุ่งไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมรักษ์โลก แม้ต้นทุนในการปรับเปลี่ยนจะสูง แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ดังนั้นเราจะต้องเดินหน้าพัฒนาให้ทันกับกระแส โดยเยอรมันนีมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีอยู่แล้วและพร้อมให้การสนับสนุนไทยต่อไป” นายอันเดร กล่าว