SCG Solar Roof Solutions ตอบโจทย์เทรนด์ความต้องการลดค่าไฟฟ้า ครบเครื่องเรื่องหลังคาประหยัดพลังงาน
SCG ชูจุดแข็งผู้เชี่ยวชาญด้านหลังคาครบวงจร รุกหนักบุกตลาดเอสเอ็มอี-คนทำบ้านช่วงโควิด19 ตั้งเป้าดันโซลาร์รูฟโต 6 เท่าในปี 64
แม้โควิด-19 จะทำให้ธุรกิจก่อสร้างบ้านใหม่ต้องชะลอตัวเพราะกำลังซื้อที่ลดลง แต่กับตลาดกลุ่มปรับปรุงบ้าน(Renovate) ซ่อมแซมบ้านกลับเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง Work from home ซึ่งทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป จากที่เน้นทำกิจกรรมนอกบ้านสู่การทำงานและใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้หลายครอบครัวเริ่มคิดจะปรับปรุงบ้านให้เหมาะกับการอยู่อาศัยรวมไปถึงการมองหาโซลูชั่นนวัตกรรมเพื่อช่วยลดรายจ่ายค่าไฟฟ้า
ธงชัย โสภณ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจหลังคา บริษัท เอสซีจี รูฟฟิ่ง จำกัด ในเอสซีจี กล่าวว่า ช่วงปี 2563 ที่ผ่านมามีผู้เข้ามาสอบถามเรื่องหลังคาโซลาร์สูงมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากในช่วงโควิด-19 ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น แต่ละครอบครัวมีค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% เจ้าของบ้านจึงมองหาโซลูชั่นที่ช่วยลดรายจ่ายเรื่องค่าไฟโดยเฉพาะการติดโซลาร์รูฟ
“โควิด-19 ทำให้ตลาดสร้างบ้านใหม่ไม่ค่อยดีนัก และในเซคเมนต์นี้กระทบกับผลิตภัณฑ์หลังคาที่เป็นวัสดุก่อสร้างด้วย แต่ในเซคเมนต์ตลาดรีโนเวทพบว่ายังไปได้ โดยพบว่าตลาดบ้านเก่าอายุ 20 ปีขึ้นไป อยู่ในทำเลเมืองมีกว่า 18 ล้านหน่วย นอกจากนี้จากการสำรวจเชิงลึก (Insight) ผู้ที่ต้องการปรับปรุงที่อยู่อาศัย พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เคยประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายเมื่อคิดจะ ซ่อม-ปรับปรุงหลังคา อาทิ การไม่รู้ว่าจะหาช่างที่มีความเชี่ยวชาญจากที่ใด การไม่มั่นใจเรื่องงบประมาณ มาตรฐานการซ่อมแซมแก้ไขที่ถูกวิธี ฯลฯ ซึ่งนั่นคือ pain point แรกของลูกค้าที่ต้องเจอหากคิดจะซ่อม – ปรับปรุงหลังคาบ้าน”
นวัตกรรมหลังคาเพื่อชีวิตที่ดี
เมื่อตลาดปรับปรุงบ้านยังเปิดกว้าง SCG ซึ่งเป็นผู้นำด้านวัสดุก่อสร้างในไทยจึงใช้จุดแข็งความรู้จริงเรื่องหลังคาบ้าน ภายใต้แนวคิด SCG Roof Expert for Better Living” ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้า บริการ ด้วยนวัตกรรมหลังคาของ SCG ซึ่งในปี 64 จะโฟกัสไปยัง “หลังคาประหยัดพลังงาน” ด้วยระบบหลังคาโซลาร์ เอสซีจี (SCG Solar Roof Solutions) ที่พร้อมให้บริการครบวงจรทั่วประเทศ ตั้งแต่ให้คำปรึกษาฟรี การตรวจเช็คสภาพความพร้อมของหลังคาก่อนติดโซลาร์, ออกแบบ และติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์ โดยทีมงานมืออาชีพ ให้บริการครอบคลุมทั้งบ้านใหม่และบ้านที่อยู่อาศัยแล้ว
“เทียบเฉพาะผลิตภัณฑ์หลังคา ในปีที่ผ่านมา SCG Solar Roof Solutions เติบโตเกือบ 200% โดยสัดส่วนการขายครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มครัวเรือน (Residential) และอีกครึ่งเป็นงานกลุ่มอาคารและโรงงาน (Non-Residential) ซึ่งสำหรับกลุ่มที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่นั้น ส่วนมากมีความรู้และเข้าใจด้านโครงสร้างการใช้โซลาร์เซลล์อยู่แล้ว แต่สำหรับกลุ่ม SME และบ้านอยู่อาศัยยังมีความรู้ความเข้าใจในระบบโซลาร์ค่อนข้างน้อย และกังวลว่าโซลาร์เป็นเรื่องที่ดู Technical ช่วงปีที่ผ่านมา นอกจากเรื่องการสร้างการรับรู้ (Awareness ) ยังต้องให้ความรู้กับกลุ่มลูกค้าด้วยซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ”
ธงชัย บอกว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดโซลาร์รูฟในประเทศมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ทั้งจากรายใหญ่และจากรายย่อย ซึ่งคู่แข่งแต่ละกลุ่มมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน ส่วนมากผันตัวมาจากธุรกิจกลุ่มพลังงานและไฟฟ้าเป็นหลัก แต่สิ่งที่ทำให้ SCG Solar Roof Solutions แตกต่าง คือ นวัตกรรมที่จดสิทธิบัตรเฉพาะของ SCG อย่าง “Solar FIX” ช่วยให้ไม่ต้องเจาะกระเบื้องในการติดตั้ง Solar ใช้หลักการถอดกระเบื้องชุดเดิม เปลี่ยนเป็นกระเบื้องชุดใหม่ที่มีการผลิตเชื่อมอุปกรณ์ยึดมาจากโรงงาน ทำให้หมดปัญหาเรื่องเสี่ยงรั่ว และให้ความสวยงามไม่เห็นสายไฟ
การให้บริการเหนือกว่าคู่แข่ง เนื่องจากอยู่ในตลาดหลังคามานาน จนเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหลังคา มีกระบวนการ “Roof Health Check” การตรวจสุขภาพหลังคา ดูความพร้อมของหลังคาและโครงสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่าหลังคาจะอยู่คู่กับระบบโซลาร์ตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี
นวัตกรรมโซลาร์รูฟของ SCG คือการทำหลังคาโซลาร์สำหรับที่อยู่อาศัยจริงๆ ไม่ใช่การดัดแปลงซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้โครงสร้างหลังคามีปัญหาในอนาคต เป็น One Stop Service ที่จบในขั้นตอนเดียว เริ่มตั้งแต่1.การมีวิศวกรไปตรวจเช็กสภาพหลังคา ประเมินความเหมาะสม พิจารณาประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน 2. การออกแบบเลือกแพ็กเกจกำลังไฟให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละบ้าน วิธีการจัดวางแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าที่คุ้มค่ามากที่สุด 3. ขออนุญาตกับภาครัฐตามกฎหมาย 4. การติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ ใช้นวัตกรรม Solar FIX ช่วยยึดแผงโซลาร์เซลล์กับผืนหลังคาโดยไม่ต้องเจาะกระเบื้องหลังคา แข็งแรงและทนทานต่อแรงลม ปลอดภัย 5.เช็กระบบก่อนส่งมอบ ทั้งนี้ SCG มีรับประกันแผงโซลาร์ให้ยาวนานถึง 25 ปี พร้อมบริการหลังการขาย ทั้งเช็กระบบและล้างแผงโซลาร์ ฟรี ถึง 3 ปี
“สำหรับกลุ่มงานบ้าน ปัจจุบันเทคโนโลยีโซลาร์พัฒนาถึงจุดที่คุ้มทุนภายใน 7-10 ปี หากมองในแง่การลงทุน การติดตั้งโซลาร์รูฟ ให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี ถือว่ามากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน ประกอบกับภาครัฐมีการปรับเกณฑ์การรับซื้อไฟคืนในโครงการโซลาร์ภาคประชาชน 2564 เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย จากเดิม 1.68 บาทต่อหน่วย การลงทุนติดโซลาร์รูฟจึงน่าสนใจและคุ้มค่าขึ้นอีกขั้น”
ผนึกแบงก์ปล่อยสินเชื่อโซลาร์ ตั้งเป้าโต 6 เท่า
ธงชัย บอกว่า ในปี 2564 ตั้งเป้าหมายการเติบโตเป็นผู้นำในธุรกิจโซลาร์ ทั้งในกลุ่มครัวเรือน และกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีการใช้ไฟกลางวันต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 600 ล้านบาท เติบโต 600% จากปี 2563 โดยจะใช้จุดแข็งในเรื่องความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหลังคา มาตรฐานในการเรื่องใช้วัสดุอุปกรณ์ในระบบ รวมทั้งมาตรฐานในการติดตั้ง พร้อมการให้บริการแบบจบในที่เดียว ซึ่งรวมถึงการติดต่อกับสถาบันทางการเงินในการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการติดตั้งนวัตกรรมนี้ด้วย
SCG เน้นการทำตลาดในรูปแบบสำคัญคือการใช้ Omni Channel เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหาข้อมูล การติดต่อ ทำธุรกรรมการซื้อขาย ขณะเดียวยังใช้จุดแข็งด้าน Physical Outlet ของ SCG Home ที่มีทั่วประเทศ ประกอบด้วย เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์, เอสซีจี โฮมโซลูชั่น, เอสซีจี โฮม บุญถาวร เอสซีจี รูฟฟิ่ง เซ็นเตอร์ เป็นการเชื่อมต่อ online และ offline อย่างไม่มีรอยต่อ และ รวดเร็ว
“สิ่งที่เราเน้นคือมาตรฐาน ความคุ้มทุน ความปลอดภัยของลูกค้า ถ้าติดตั้งกับเรา เรามั่นใจว่าเรามีมาตรฐานที่ดีที่สุด ในราคาที่คุ้มทุน และใช้ได้ยาวถึง 25 ปี ซึ่งถึงวันนี้ราคาได้ลดลงไปมาก สามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก โดยมีแพ็คเกจเริ่มต้นที่ 99,000 บาท ต่อการผลิตไฟฟ้า 1.6 กิโลวัตต์”
นอกจากนี้ SCG ยังมองอนาคตจากเทรนด์ที่เกิดขึ้น ทั้งการนำเอาดิจิทัลเทคโนโลยีมาผนวกเข้ากับวิถีชิวิต การที่ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงานกันมากขึ้น หรือแม้แต่เรื่องระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เทรนด์ผู้สูงอายุ (Ageing society) การที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวในเรื่องของสุขอนามัยกันมากขึ้น
ผลิตภัณฑ์โซลาร์รูฟจึงตอบโจทย์สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างดี ทั้งเรื่องพลังงานสะอาด การตอบโจทย์เรื่องพฤติกรรมการอยู่อาศัยที่บ้านมากขึ้น รวมไปถึง Digital Trend เรื่องความสะดวกสบายของระบบที่สามารถตวรจสอบการทำงานของระบบผ่าน Application ได้ทุกที่ ทุกเวลา