ส.อ.ท.เปิดผยสำรวจ200 ผู้บริหาร พบ พอใจรัฐบริหารจัดการวัคซันโควิดปานกลาง
ส.อ.ท. เปิดผยสำรวจ FTI Poll จาก 200 ผู้บริหาร ในเรื่องมาตรการบริหารตัดการวัคซีนโควิดของรัฐ พบมีความพึงพอใจต่อแผนการบริหารจัดการวัคซีนในระดับปานกลาง แนะนำระบบดิจิทัลมาใช้ในงาน พร้อมขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 3 ในเดือนกุมภาพันธ์ ภายใต้หัวข้อ ความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการวัคซีนในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความพึงพอใจต่อแผนการบริหารจัดการวัคซีนโควิดของภาครัฐอยู่ใน “ระดับปานกลาง” และมองว่าปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้แผนการกระจายวัคซีนโควิดให้แก่ประชาชนมีประสิทธิภาพ คือ การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการความร่วมมือจากภาคเอกชนในการบริหารจัดการ และความพร้อมของบุคลากร/สถานที่ในการฉีดวัคซีน
นอกจากนี้ ยังมองว่า ภาครัฐควรออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อเนื่องหลังจากการฉีดวัคซีนตามแผนแล้ว อาทิ มาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ มาตรการช่วยเหลือ/สนับสนุนธุรกิจ SME และการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่มีพาสปอร์ตวัคซีน (Vaccine Passport) เป็นต้น
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 200 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 74 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการวัคซีนในการยับยั้งการแพร่ระบาดโควิดของภาครัฐ อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 61.0 รองลงมามีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 22.0 และความเชื่อมั่นอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 17.0 นอกจากนี้ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารส่วนใหญ่มีความพร้อมในการรับวัคซีนโควิดจากภาครัฐ แต่ยังคงมีความกังวลถึงผลข้างเคียงจากวัคซีน คิดเป็นร้อยละ 60.5 ขณะที่มีผู้บริหารที่มีความพร้อมและเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของวัคซีน คิดเป็นร้อยละ 31.5
สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับวัคซีนในลำดับถัดไปต่อจากบุคลากรทางการแพทย์/สาธารณสุขและบุคคลที่มีโรคประจำตัว พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 เจ้าหน้าที่ที่มีความเสี่ยงในการปฎิบัติงาน เช่น ตำรวจ อาสาสมัคร ฯลฯ ร้อยละ 73.5 อันดับ 2 แรงงานในภาคบริการ ร้อยละ 55.5 และอันดับ 3 กลุ่มผู้สูงอายุ ร้อยละ 54.5 โดยปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้แผนการกระจายวัคซีนโควิดให้แก่ประชาชนมีประสิทธิภาพ 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ ร้อยละ 63.0 อันดับ 2 ความร่วมมือจากภาคเอกชนในการบริหารจัดการวัคซีน ร้อยละ 58 และอันดับ 3 ความพร้อมของบุคลากร/สถานที่ในการฉีดวัคซีน ร้อยละ 57.5
นอกจากนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกไปถึงเรื่องการส่งเสริมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนโควิดที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ อย. แล้ว เพื่อนำเข้ามาใช้ในประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.5 เห็นว่าภาครัฐควรส่งเสริมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาใช้ในประเทศโดยมีเงื่อนไขเฉพาะภายใต้ระเบียบปฏิบัติของรัฐ รองลงมา ร้อยละ 34.0 ควรเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการจัดหาและนำเข้าวัคซีน และเมื่อถามถึงความพร้อมของภาคเอกชนที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าวัคซีนโควิดให้แก่พนักงานในบริษัท พบว่า ร้อยละ 43.0 ภาคเอกชนสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้บางส่วน รองลงมา ร้อยละ 36.0 ยังต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย ขณะที่ร้อยละ 21.0 สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้เอง
ในส่วนของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.5 เห็นว่าภาครัฐควรนำมาตรการพาสปอร์ตวัคซีน (Vaccine Passport) มาใช้ควบคู่กับมาตรการกักตัว 14 วัน สำหรับกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ และรองลงมาร้อยละ 35.0 อยากให้นำมาตรการพาสปอร์ตวัคซีน (Vaccine Passport) มาใช้ทดแทนมาตรการกักตัว 14 วัน
ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังคงมองว่า ภาครัฐควรดำเนินมาตรการฟื้นฟูผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องหลังจากมีการฉีดวัคซีนโควิดตามแผนให้แก่ประชาชนแล้ว โดยพบว่า 3 อันดับแรกที่ ผู้บริหาร ส.อ.ท. อยากให้ภาครัฐดำเนินการ ได้แก่ อันดับที่ 1 มาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ร้อยละ 67.5 อันดับที่ 2 มาตรการช่วยเหลือ/สนับสนุนธุรกิจ SME ร้อยละ 63.5 ขณะที่อันดับที่ 3 เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่มี Vaccine Passport ร้อยละ 61.0