กรมเจรจาฯ หนุนหอยเป๋าฮื้อ ใช้สิทธิ์เอฟทีเอ ขยายตลาดต่างประเทศ
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ลงพื้นที่ภูเก็ต คุยผู้ผลิตหอยเป๋าฮื้อ เผยไทยมีศักยภาพและมาตรฐานการผลิต หนุนใช้ข้อได้เปรียบด้านภาษีจากเอฟทีเอ ปูทางขยายตลาดเพิ่ม แนะกลุ่มเกษตรกรผลิตผ้ามัดย้อมสี ใช้นวัตกรรมพัฒนาศักยภาพสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยได้เข้าพบผู้บริหารบริษัท ภูเก็ต เป๋าฮื้อ ฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตหอยเป๋าฮื้อ และพบว่าเป็นสินค้าที่มีศักยภาพ ซึ่งหากใช้นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เช่น การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ เครื่องสำอางบำรุงฟื้นฟูผิว และคอลลาเจนสกัดเย็นจากหอยเป๋าฮื้อพร้อมดื่มผสมน้ำผลไม้ เป็นต้น จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตลาดพรีเมียม และยังสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ ซึ่งเป็นจุดแข็งให้กับสินค้าประมงไทยในการขยายตลาดไปต่างประเทศ
หอยเป๋าฮื้อถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่น่าจับตา มีมูลค่าทางการตลาดสูง เป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวฮ่องกง จีน และญี่ปุ่น โดยนำเข้าในรูปแบบอาหารสดแช่แข็ง และอาหารกระป๋องและแปรรูป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการของไทยสามารถเพาะเลี้ยงหอยชนิดนี้ในเชิงพาณิชย์ได้ และได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพดี เนื้อเยอะ และเปลือกน้อยจึงช่วยลดการนำเข้าและทำให้ไทยส่งออกไปต่างประเทศได้ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่และไม่เก็บภาษีนำเข้าหอยเป๋าฮื้อสด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูปจากไทย
ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประมง รวมทั้งหอยเป๋าฮื้อสด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูปจากไทยแล้ว ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ยังคงเก็บภาษีประมงบางรายการจากไทย รวมทั้งหอยเป๋าฮื้อที่ 5 - 16% และอินเดียที่ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประมงบางรายการจากไทย
นางอรมน กล่าวว่า นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้จัดสัมมนาให้ความรู้กับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกร “พรชนก” ผู้ผลิตผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ ต่อยอดจากการลงพื้นที่เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้ประกอบการและชุมชนในจังหวัดภูเก็ตประสบปัญหาขาดรายได้จากการท่องเที่ยว เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ 5 ชุมชนในตำบลกะรน จึงรวมตัวกันผลิตผ้ามัดย้อมจากวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่น สร้างแบรนด์ “ภูษาเล” หรือ “ผ้าจากทะเล” เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนทดแทนรายได้จากการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ในปี 2563 ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าประมงอันดับที่ 13 ของโลก มูลค่า 1,567.13 ล้านดอลลาร์ ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา อาเซียน และเกาหลีใต้ สำหรับสินค้าหอยเป๋าฮื้อ ไทยส่งออกมูลค่า 4,788 ดอลลาร์ เป็นการส่งออกสินค้าประเภทเป๋าฮื้อปรุงแต่ง ตลาดหลัก คือ เกาหลีใต้