หุ้นต่ำบาทราคาพุ่งแรง! โบรกฯ เตือนเสี่ยงสูง

หุ้นต่ำบาทราคาพุ่งแรง! โบรกฯ เตือนเสี่ยงสูง

“หุ้นเล็ก” ราคาต่ำบาทพุ่งแรง “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” ชี้หุ้นใหญ่ขึ้นยาก หลังแวลูเอชั่นหุ้นไทยตึงตัว นักลงทุนหันซื้อหุ้นเล็ก เตือนต้องเข้า-ออกเร็ว ตั้งจุดตัดขาดทุน เหตุเสี่ยงสูง “ทรีนีตี้” แนะลงทุนหุ้นที่มีบทวิเคราะห์-ปัจจัยพื้นฐานรองรับ 

หุ้นไทยวานนี้ (22 เม.ย.) ปิดที่ 1,568.21 จุด ลดลง 11.80 จุด หรือลดลง 0.75%  โดยพบว่าหุ้นขนาดเล็กราคาพุ่งแรงสวนทางตลาด นำโดย บมจ.ไทย-เยอรมัน โปรดักส์ (TGPRO) เพิ่มขึ้น 30% หรือ 0.06 บาท อยู่ที่ 0.26 บาทต่อหุ้น ถัดมา บมจ.อาร์พีซีจี (RPC) เพิ่มขึ้น 27.03% หรือ 0.20 บาท อยู่ที่ 0.94 บาทต่อหุ้น และ บมจ.จี เจ สตีล (GJS)เพิ่มขึ้น 16.13% หรือ 0.05 บาท อยู่ที่ 0.36 บาท

161911693299

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นขนาดเล็กวานนี้ปรับขึ้นร้อนแรง โดยคาดว่าเป็นผลจากมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยที่เริ่มตึงตัว หลังจากดัชนีหุ้น SET ปรับขึ้นจากระดับ 1,500 จุด มาอยู่ที่บริเวณ 1,580 จุด ส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่ปรับขึ้นอย่างจำกัด ประกอบกับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศซื้อสลับขายหุ้นไทย ส่งผลให้นักลงทุนไม่กล้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ และสลับเข้าไปลงทุนกลุ่มหุ้นเล็กแทน

สำหรับการลงทุนหุ้นขนาดเล็กนักลงทุนจะต้องรับความเสี่ยงได้สูง และเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น หุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการดี หรือมีปัจจัยหนุนพิเศษ โดยยกตัวอย่างหุ้นที่ประกาศออกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (วอแรนท์) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม อย่าง บมจ.สบาย เทคโนโลยี (SABUY) ทำให้ราคาหุ้นในระยะสั้นมีแรงไล่ซื้อเก็งกำไรขึ้นมาใกล้ราคาวอแรนท์

นอกจากนี้ แนะนำนักลงทุนดูกราฟเทคนิคหุ้นประกอบ ก่อนตัดสินใจลงทุนเพื่อพิจารณาต้นทุนที่จะเข้าซื้อ รวมถึงควรกำหนดจุดขายตัดขาดทุน (Stop Loss) เพราะหากปัจจัยบวกไม่เป็นไปตามคาดการณ์ราคาหุ้นจะถูกดดันและฟื้นตัวกลับมาได้ยากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ในดัชนี SET50 ที่มีสภาพคล่องสูงจากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ

“นักลงทุนที่จะเข้าลงทุนหุ้นเล็ก จะต้องรับความเสี่ยงได้สูง เพราะราคาหุ้นบางตัวราคาจะเปลี่ยนแปลงเร็ว หากนักลงทุนขายไม่ทันจะได้รับผลขาดทุน และโอกาสที่ราคาหุ้นจะฟื้นกลับมาได้ยาก จากสภาพคล่องน้อย”

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นขนาดเล็กปรับขึ้นแรง คาดว่าเป็นผลจากที่นักลงทุนรายย่อยเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น สะท้อนจากสัดส่วนการซื้อขายรายวันของนักลงทุนรายย่อยปรับตัวสูงขึ้นมาที่ระดับ 50% ของมูลค่าซื้อขายรวมของทั้งตลาด จากเดิมอยู่ที่ 30-35% โดยเป็นปรากฏการณ์ต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 ที่มีการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนต้องเปลี่ยนไปทำงานจากบ้าน (Work from Home) ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้นและมีความสนใจเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น

“ในภาวะโควิด-19 บริษัทขนาดเล็กมีความน่าสนใจลงทุนในแง่ที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤติได้เร็วกว่าบริษัทขนาดใหญ่ แต่ในมุมการลงทุนเราแนะนำ นักลงทุนซื้อขายระยะสั้นตามกราฟเทคนิคได้ แต่คนที่จะลงทุนระยะกลางยาวควรเลือกหุ้นที่มีบทวิเคราะห์รองรับเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานของบริษัท”

 ทั้งนี้ผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าหุ้นขนาดใหญ่ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ดัชนี sSET ให้ผลตอบแทน 29% และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ให้ผลตอบแทน 41% ส่วนดัชนี SET50 ให้ผลตอบแทน 5% ในช่วงเวลาเดียวกัน