‘ตลาดหุ้นไทย’ ไม่กังวลกับโควิดรอบใหม่
เปิดบทวิเคราะห์ ทำไมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (ราคาหุ้น) ณ ขณะนี้ มีการปรับตัวเพียงเล็กน้อย และไม่แสดงความเป็นกังวลเกี่ยวกับการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ในประเทศไทย?
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (ราคาหุ้น) ซึ่งสะท้อนการคาดการณ์เกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตนั้น พูดได้ว่า ณ ขณะนี้ไม่ได้แสดงความเป็นกังวลเกี่ยวกับการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะดัชนีปรับตัวเพียงเล็กน้อยและอาจมองในแง่ดีว่าก็น่าจะสะท้อนการคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมด้วยว่า เศรษฐกิจไทยก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักจากการระบาดรอบใหม่นี้ แม้ว่านักวิเคราะห์จะเริ่มทยอยปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีไทยในปีนี้ลงไปเหลือ 1.5-2.0% จาก 2.5-3.0% แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการปรับการคาดการณ์ลงไม่มาก
นักลงทุนมักจะคาดการณ์ไม่ผิดพลาด เพราะหากคาดการณ์ผิดพลาดก็จะได้รับความสูญเสียที่มหาศาล แต่นักลงทุนก็จะไม่ได้คาดการณ์ถูกต้องเสมอไป เช่น ในช่วง 2-3 วันหลังจากการลอยตัวของค่าเงินบาทในวันที่ 2 ก.ค.2540 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินว่าการลอยตัวค่าเงินบาทจะเป็นการปลดล็อก ทำให้เศรษฐกิจไทย (โดยเฉพาะการส่งออก) สามารถฟื้นตัว แต่ไม่ได้คำนึงถึงหนี้ต่างประเทศที่ทับถมบริษัทและสถาบันการเงิน เมื่อเงินบาทอ่อนค่าเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้อย่างมาก จึงนำไปสู่วิกฤติทั้งในส่วนของสถาบันการเงินและดุลชำระเงินของประเทศ
ครั้งนี้ผมเข้าใจว่า ตลาดคงจะมองในแง่บวกว่าการระบาดรอบนี้น่าจะควบคุมได้ภายในระยะเวลาอันใกล้ เพราะ
1.ประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ที่สมุทรสาครได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน
2.จำนวนผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมาได้ทรงตัวที่ระดับประมาณ 1,500 คนต่อวัน ซึ่งต่อไปก็น่าจะเริ่มลดลงเพราะมาตรการควบคุมต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้อย่างครอบคลุม
3.รัฐบาลไทยคงจะรับรู้ถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยังมีวัคซีนเหลือให้นำไปฉีดอีก 1.3 ล้านเข็ม ตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไปก็ได้รับวัคซีนจำนวนหลายสิบล้านเข็มทยอยเข้ามาทุกเดือน ทำให้ฉีดจนเกือบครบจำนวน 60 ล้านเข็มภายในปลายปีนี้
4.แม้ประเทศไทยจะฉีดวัคซีนช้ามาก (ประชากรเพียง 0.5% ได้รับการฉีดวัคซีน 1 เข็ม) แต่ประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกสามารถฉีดวัคซีนได้คืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว ประเทศอังกฤษที่มีประชากรเท่ากับประเทศไทย ประชาชน 1/3 ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว ในขณะที่สหรัฐสามารถฉีดวัคซีนวันละ 3 ล้านเข็มจึงจะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างครบถ้วนภายในเดือน พ.ค.
กล่าวคือเศรษฐกิจของประเทศหลักจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในปีนี้ ซึ่งจะเป็นอานิสงส์ให้กับเศรษฐกิจไทยพร้อมกันไปด้วย เห็นได้จากการที่ราคาหุ้นในประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกขยับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และอาจมีส่วนช่วยพยุงราคาหุ้นไทยให้ปรับขึ้นตามไปด้วย
การที่รัฐบาลขยายมาตรการเยียวยาที่เคยทำมาแล้ว 2-3 รอบนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย เพราะมีความคุ้นเคยในทางปฏิบัติอยู่ก่อนแล้ว แต่ในความเห็นของผมนั้นครั้งนี้โจทย์เปลี่ยนไปแล้ว จึงควรเปลี่ยนแนวทางของมาตรการให้สอดคล้องไปด้วย
เห็นได้จากการที่ภาคธุรกิจออกโรงมาผลักดันให้รีบเร่งการระดมซื้อวัคซีน โดยบอกว่าพร้อมจะสั่งซื้อเองและช่วยทางการในการนำเอาวัคซีนมาเร่งฉีดให้กับประชาชน ทั้งนี้เพราะปี 2564 แตกต่างจากปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ยังไม่มีวัคซีน รัฐบาลต่างๆ จึงเน้นมาตรการเยียวยา แต่ในปีนี้มีวัคซีนแล้ว รัฐบาลต่างๆ จึงหันมาเน้นการซื้อและฉีดวัคซีน ไม่ใช่การเยียวยา
แต่ในกรณีของไทยนั้นการจัดหาวัคซีนก็ยังล่าช้า การฉีดวัคซีนก็ล่าช้า ซึ่งการเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือของภาคธุรกิจนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ก็จะต้องคำนึงว่าจะกระทบกับการให้ลำดับความสำคัญของการฉีดวัคซีนให้กับคนกลุ่มต่างๆ ได้เช่น
1.หลายคนคงจะเห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องฉีดวัคซีนให้กับบุคคลที่เป็นแนวหน้าของการควบคุมโควิด-19 ก่อน คือหมอ พยาบาล และ อสม. นอกจากนั้นก็คงต้องรีบฉีดให้กับกลุ่มอื่นๆ ที่สัมผัสกับสาธารณชนในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น ตำรวจและครูบาอาจารย์
2.แต่สำหรับกลุ่มต่อๆ ไปนั้น อาจต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าต้องการฉีดวัคซีนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจหรือเพื่อปกป้องกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง อันไหนมีความสำคัญมากกว่า หากต้องการฟื้นเศรษฐกิจก็จะต้องปูพรมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่เกาะภูเก็ต กระบี่ พัทยา ฯลฯ เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเสรีภายในเดือน ก.ค. ตามมาด้วยแหล่งท่องเที่ยวหลักต่างๆ เช่น พนักงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทุกคนที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และพัทยา เป็นต้น
3.ในกรณีดังกล่าวนั้น ผู้สูงอายุและ/หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวจะต้องรอไปก่อน แต่เมื่อมีกลุ่มนักธุรกิจรวมตัวกันขอเร่งซื้อวัคซีนเพื่อระดมฉีดให้กับพนักงานของกลุ่มบริษัทของตัวเองก่อน (โดยจะออกเงินซื้อและจัดการฉีดกันเอง) กลุ่มนี้ก็อาจได้รับวัคซีนก่อนกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว (เว้นแต่คนที่มีโรคประจำตัวจะเป็นพนักงานของบริษัทดังกล่าว) ซึ่งในส่วนนี้ก็จะเป็นไปได้อีกว่าพนักงานในบริษัทขนาดใหญ่จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนพนักงานที่ทำงานในบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม
ปัจจุบันนี้การจะขอรับฉีดวัคซีนนั้น ประชาชนคนไทยต้องเข้าไปขึ้นทะเบียน แต่ในความเห็นของผมนั้นในหลักการประชาชนคนไทยทุกคนได้ลงทะเบียนกับรัฐบาลแล้วโดยการถือบัตรประชาชน จึงน่าจะมีสิทธิได้รับการฉีดวัคซีนโดยอัตโนมัติ เพียงแต่รัฐบาลแจ้งในหลักการว่ากลุ่มใดมีลำดับความสำคัญที่จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนหรือหลัง และในรายละเอียดนั้นรัฐบาลจะต้องเร่งส่งจดหมายหรือแจ้งประชาชนทุกคนที่มีบัตรประชาชนว่าตนจะมีสิทธิมาฉีดวัคซีนเมื่อใด โดยให้เดินทางไปรับการฉีดที่หน่วยที่จัดตั้งขึ้นใกล้ที่พักอาศัยตามที่ระบุเอาไว้ในบัตรประชาชน
เสมือนกับการที่ประชาชนคนไทยไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดการให้คนจำนวน 48 ล้านคนสามารถไปใช้สิทธิของตัวเองได้ภายในวันเดียว แต่ละคนใช้เวลาทำภารกิจดังกล่าวให้เสร็จสิ้นได้ภายในเวลา 1-2 ชั่วโมงหากทำได้ดังนี้ก็จะดียิ่งครับ