ธุรกิจลิสซิ่ง ชี้ช่วง'พักหนี้-ล็อกดาวน์' ยอดยึดรถชะลอ
"เกียรตินาคิน" ชี้ช่วงมาตรการล็อกดาวน์และมีมาตรการช่วยเหลือของธปท. ชะลอยอดยึดรถจากปกติเฉลี่ยที่ 1-2 พันคันต่อเดือน พร้อมอุ้มลูกหนี้ต่อหากโควิดยืดเยื้อและขยายพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ มั่นใจคุมหนี้เสียไม่เกิน 3% "กรุงศรีออโต้"แจงยังไม่มียอดยึดรถเพิ่ม
นายเตชินท์ ดุลยฤทธิรงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาการตลาดและบริหารความสัมพันธ์สินเชื่อยานยนต์ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า สถานการณ์การยึดรถช่วงนี้มีจำนวนชะลอลง จากปกติเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 -2,000 คันต่อเดือน เนื่องจากช่วงโควิด-19 ระบาดหนักและมีมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่ออกไปได้ยึดรถได้
รวมถึงมีมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของธปท.เข้ามาดูแลลูกหนี้ธนาคารอย่างต่อเนื่อง และแต่ละธนาคารพยายามพยุงลูกหนี้ให้มากที่สุดในวิกฤติโควิด-19 เพราะรถของลูกหนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเครื่องมือทำมาหากินสร้างรายได้ และพยายามชำระค่างวดต่อเนื่อง
ยกเว้นกรณี ลูกหนี้ที่ไปไม่ไหวจริงๆ เช่น ตกงาน หรือมีสถานะผ่อนไม่ไหวมาก่อนโควิด-19อยู่แล้ว และมีความต้องการใช้เงินและให้ธนาคารยึดรถเท่านั้น เพราะรถส่วนใหญ่เป็นรถใช้ประกอบอาชีพ ขณะเดียวกันธนาคารมีการประเมินคุณภาพลูกหนี้ สำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่ไปไม่ไหวจริงๆสามารถนำรถมาคืนเพื่อปลดหนี้ โดยทำไปแล้ว200ราย
“ไม่ใช่ว่าโควิด-19 กระทบรายได้ลูกหนี้ไม่มีเงินจ่ายแล้วยอดยึดรถจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับลดลงด้วย เพราะมาตรการล็อกดาวน์ ที่เราไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่ไปได้ อีกทั้งทุกธนาคารพยายามช่วยลูกหนี้ตามมาตรการของธปท.ให้ได้มากที่สุดในวิกฤติครั้งนี้”
ธนาคารมั่นใจว่า ในปีนี้หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ( NPL) ของสินเชื่อรถยนต์จะคุมไว้ไม่เกิน 3% จากปัจจุบันราว 2% แม้จะมีความเสี่ยง NPL เพิ่มขึ้น หาก 3 เดือนนี้โควิด-19 ระบาดหนั ยืดเยื้อ แต่ด้วยการให้ความช่วยเหลือปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิมให้ลูกค้ารอดและขยายพอร์ตสินเชื่อคุณภาพ คาดว่า NPL จะขยับขึ้นอีกเล็กน้อยหรือไม่ถึง 1%
นางกฤติยา ศรีสนิท ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ กรุงศรีออโต้ กล่าวว่า ในส่วนของอัตราการยึดรถ และอัตราหนี้เสียสินเชื่อรถยนต์ไม่ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากลูกค้าได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 มาจนปัจจุบัน และส่วนใหญ่มีความจำเป็นต้องใช้รถในการประกอบอาชีพ จึงมีแนวโน้มที่จะชำระค่างวดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถใช้รถได้ต่อไป