บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี คัด 8 หุ้น แนะซื้อเก็งงบ"ไตรมาส3/64โต-ราคามีUpside"
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ชี้"หุ้นไทย"ไตรมาส4/64ผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ -ในประเทศกดดัน มองกรอบดัชนี 1,550 -1,690 จุด แต่กรอบเดือนต.ค.1,580 - 1,680 จุด ด้านบจ.เตรียมประกาศงบไตรมาส3/64กลางเดือนนี้ แนะ ซื้อ 8 หุ้น กำไรเติบโตจากไตรมาส2/64 -ไตรมาส3/64 รวมถึงราคายังมีUpside
การลงทุนหุ้นไทยผ่านมาแล้ว 9 เดือนปี 2564ดัชนีหุ้นไทยถือว่ายังอยู่ในทิศทางที่ดี โดยยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น 155.82 จุด หรือ 10% ปิดที่ 1,605.17 จุด จากดัชนีปิดสิ้นปี2563 และเข้าสู่การลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)คาดดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 4/64 ผันผวน และจากบริษัทจดทะเบียน(บจ.)เตรียมประกาศงบไตรมาส3/64 กลางเดือนต.ค.นี้ จึงคัดหุ้นเด่น ที่กำไรไตรมาส3/64 เติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อน(YoY)และไตรมาส2/64 (QoQ)รวมถึงราคาหุ้นยังมี Upside
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทย ไตรมาส4ปี 2564 คาดว่าจะยังคงผันผวนจากปัจจัยกดดันทั้งต่างประเทศ ที่จะต้องติดตาม โดยปัจจัยต่างประเทศ เรื่อง การขยายเพดานหนี้ของอเมริกา การปรับลดQEของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งหากมีความชัดเจนลด QE ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่า บอนด์ยิลด์สูงขึ้น จากดอกเบี้ยจะขึ้น การขึ้นภาษีนิติบุคคล ที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐาน ปัญหาหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ จะลุกลามเป็นวิกฤติหนี้หรือไม่ การแพร่ระบาดโควิดทั่วโลก
ส่วนปัจจัยภายในการกลับจากการทยอยเปิดเมือง ในเดือนนี้ หากนักท่องเที่ยวกับมา และหากการฉีดวัคซีนได้70% ของประชากร และผลการดำเนินงานไตรมาส3/2564 ที่จะประกาศกลางเดือนนี้ ถึงกลางเดือนหน้า ซึ่งคาดว่าจะปรับตัวลดลงทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลงจากไตรมาส2/2564 และประเด็นการปรับการคำนวณดัชนี SET50-SET100 ซึ่งหากมีการใช้เกณฑ์ฟรีโฟลทมาคำนวณดัชนีจะมีผลทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้ และต้องติดตามเรื่องปัจจัยการเมือง
"หากเฟดลดQEทำให้ดอลลาร์แข็งแต่ถ้าไทยเปิดประเทศแล้วนักท่องเที่ยวกับมา ก็จะทำให้มีการซื้อเงินบาท ค่าเงินบาทก็จะมาแข็งค่าได้ "
สำหรับกลยุทธ์ ตลาดหุ้นผ่านจุดแย่สุดไปแล้ว จากการติดเชือ่โควิดลดลง แม้กำไรไตรมาส3 เปิดิมืองวัคซีนมีมากขึ้น มาตรการภาครัฐจะมีการกระตุ้นการใช้จ่าย ทำให้กำไรบจ.ปรับตัวดีขึ้น ถ้าตลาดลงมาก็เป็นโอกาสทยอยสะสม เพราะมองแนวรับ (ดาวไซด์)เดือนต.ค. อยู่ที่ 1,580 จุด แนวต้านที่ระดับ 1,680 จุด ถ้าเป็นกรอบในไตรมาส4/2564 มองแนวรับที่ 1,550 จุด แนวต้านที่ระดับ 1,690 จุด
ส่วนดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,850 จุด เนื่องจากประเมินกำไรของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 14% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต45% จากปี 2563 และมองค่า P/E อยู่ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางดีขึ้น และธุรกิจท่องเที่ยวจะฟื้นตัวมากขึ้น
สำหรับธีมการลงทุนในไตรมาส4/64 แนะนำธีม หุ้นเปิดเมือง ,กลุ่มพลังงาน จากราคาปรับตัวดีขึ้นจากความต้อง,สื่อสาร และกลุ่มแบงก์ ซึ่งหากเศรษฐกิจฟื้นตัวจะส่งผลดี และราคายังต่ำ หนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
สำหรับระยะสั้นจากที่บริษัทจดทะเบียนเตรียมประกาศงบการเงินไตรมาส3/2564 บริษัทจึงแนะนำซื้อเก็งกำไร หุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส2/2564 (คาดการณ์กำไรไตรมาส3/64เป็นข้อมูลจากบลูมเบิร์ก) รวมถึงราคาหุ้นยังมีUpside จากราคาปิดวันที่1 ต.ค.2564
โดยหุ้นแนะนำซื้อ 9 หุ้น ดังนี้
1.บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือOSP ราคาเป้าหมาย 40.50 บาทต่อหุ้น ราคาUpside 20%
2.บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือCHG ราคาเป้าหมาย 4.44 บาทต่อหุ้น ราคาUpside 19.35%
3.บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือBDMS ราคาเป้าหมาย 26 บาทต่อหุ้น ราคาUpside 15.04%
4.บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาเป้าหมาย 138 บาทต่อหุ้น ราคาUpside 17.44%
5.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL ราคาเป้าหมาย145 บาทต่อหุ้น ราคาUpside 23.40 %
6.บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ CRC ราคาเป้าหมาย 39 บาทต่อหุ้น ราคาUpside16.41%
7.บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ราคาเป้าหมาย 39.50 บาทต่อหุ้น ราคาUpside 19.6%
8. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT ราคาเป้าหมาย 49 บาทต่อหุ้น ราคาUpside 26.45%