‘จุรินทร์’ ลุยฟื้นศก. 3 จังหวัดชายแดนใต้

‘จุรินทร์’ ลุยฟื้นศก. 3 จังหวัดชายแดนใต้

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ประชุม กอร. พาณิชย์ และหอการค้า จังหวัดนราธิวาส เพื่อผลักดันการแก้ปัญหาการค้า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันยังได้มีการประกาศ ยุทธศาสตร์เชิงรุกผลไม้ชายแดนใต้ด้วย

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพาณิชย์ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  ลงพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน ที่ด่านพรมแดนสุไหงโกลก พร้อมประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนภาคใต้ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและหอการค้า จังหวัดนราธิวาส  โดย นายจุรินทร์ กล่าวว่า
ได้ให้ความสำคัญและเดินหน้าขับเคลื่อนจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง


โดยเฉพาะช่วงโควิด ได้เร่งรัดดำเนินการวัคซีนซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของ ศบค.ในการดำเนินการ และในเรื่องเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของตนเอง

ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้จะเร่งรัด การฟื้นเศรษฐกิจ 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ 
รวมถึงอุตสาหกรรมในบางพื้นที่  ซึ่งเป็นกลไกที่จะใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เพราะเชื่อมั่นว่ายังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ในอนาคต เมื่อสถานการณ์เข้าสู่สภาวะที่เป็นปกติ


ขณะเดียวกันยัง ประกาศยุทธศาสตร์เชิงรุกผลไม้จังหวัดชายแดนใต้ ที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) โดยเป็นการประกาศล่วงหน้า 1 ปี เพื่อให้ทุกฝ่ายรับทราบว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับจังหวัดชายแดนใต้ เพราะผลไม้ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ 

ส่วนการค้าชายแดน จะเร่งแก้ไขปัญหาด่านที่โกลก และด่านอื่นๆที่ยังติดปัญหาอยู่
ขณะเดียวกัน มีแนวโน้มว่ามาเลเซียจะเปิดประเทศ ในวันที่ 1พฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือว่าเป็นผลดีเพราะได้เตรียมการสำหรับการเปิดประเทศไว้แล้ว  อย่างน้อยที่สุดนักท่องเที่ยวเดินทางไปมาได้ การค้าขายก็จะคล่องตัวขึ้น

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังระบุด้วยว่าที่ผ่านมา พืชสำคัญของเกษตรกร คือ ยางพารา ในส่วนของน้ำยางข้น ติดขัดปัญหา เพราะมาเลเซียปิดประเทศราคาจึงตกลงมา แต่เมื่อเปิดได้เมื่อไหร่ราคาน้ำยางจะดีขึ้น 

ส่วน ปาล์มซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ ขึ้นมาเป็นกิโลกรัมละ 8 บาทกว่าแล้ว  ดังนั้น จะช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาสุขภาพซึ่งเป็นหน้าที่ของ ศบค.

อย่างไรก็ตามนายจุรินทร์ให้ความมั่นใจว่าหลังจากการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับ ผลักดันการส่งออก ที่ด่านการค้าชายแดน อย่าต่อเนื่อง และที่สำคัญมีแนวโน้มว่าประเทศมาเลเซียจะมีการเปิดประเทศพร้อมกันกับไทยในวันที่หนึ่งพฤศจิกายนนี้ ก็จะได้ทั้งตัวเลขด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวควบคู่กันไปด้วย