TKN ไตรมาส 3 ปี 64 กำไรสุทธิทรุดเหลือ 19.25 ล้านบาท
“เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง” เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 64 กำไรสุทธิเหลือ 19.25 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 88.90 ล้านบาท หลังผลกระทบจากสถานการณ์โควิดระลอกสามที่ 3 ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องในวงกว้าง
นายจิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล รองกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN แจ้งผลประกอบการ งวดไตรมาส 3 ปี 2564 ว่า มีกำไรสุทธิ 19,253 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 88,902 ล้านบาท
บริษัทมีรายได้จากการขายไตรมาส 3 ปี 64 จำนวน 830.7 ล้านบาท ลดลง 15.1% จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมา (เพิ่มขึ้น 6.1% จากไตรมาส 2/64) และมีรายได้จากการขาย 9 เดือนแรกรวมทั้งสิ้น 2,533.7 ล้านบาท ลดลง 18.3% จากช่วงเดียวกันปี ก่อน ทั้งนี้ ผลกระทบหลักในไตรมาส 3 สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิดระลอกสามที่ 3 ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องในวงกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทฯได้รับผลกระทบในด้านการผลิต
ตลาดในประเทศ มีรายได้จากการขายไตรมาส 3 จำนวน 293.2 ล้านบาท ลดลง 8.3% จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมา (ลดลง 23.5% จากไตรมาส 2/2564) และมียอดขายรวม 9 เดือนแรกรวมทั้งสิ้น 1,065.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ตลาดต่างประเทศ มีรายได้จากการขายไตรมาส 3 จำนวน 537.5 ล้านบาท ลดลง 18.4% จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมา (เพิ่มขึ้น 34.4% จากไตรมาส 2/2564) โดยในไตรมาส 3 นี้ ตลาดจีนเริ่มมีอุปสงค์ที่ปรับฟี้นตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่บริษัทฯได้ปรับแผนกลยุทธ์การขยายตลาดในจีนกับตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรายตั้งแต่กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้ม ของธุรกิจในไตรมาส 4 บริษัทมีความมั่นใจว่า ธุรกิจจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยมีปัจจัยเสริมมาจากหลายๆ ส่วนทั้งในเรื่องของตลาดภายในประเทศที่มีการคลายล็อกและเปิดประเทศมากขึ้นทำให้มีการเดินทางและเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น ในส่วนตลาดต่างประเทศ หลังจากที่บริษัทฯ ได้ปรับแผนกลยุทธ์การขยายตลาดในจีนแล้วทำให้เกิดการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส เป็นต้นมา รวมถึงอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศอื่นๆ อีก หลายประเทศ ซึ่งจะทำให้ยอดขายของบริษัทกลับมาเติบโต และจะส่งผลดีกับต้นทุนการผลิตที่จะลดลง
โดยบริษัทให้ความสำคัญมาตลอดในการปรับโครงสร้างทุนให้ดียิ่งขึ้นด้วยการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้นโดยจะส่งผลดีกับต้นทุนการผลิตในระยะยาว รวมถึงการมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรได้ดีขึ้นในไตรมาส 4 และต่อเนื่องไปในปี 2565