"มาสเตอร์การ์ด" เผย 5 ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในปี 2565
สถาบันวิจัยเศรษฐศาสตร์ของ "มาสเตอร์การ์ด" เปิดเผย 5 ปัจจัยพื้นฐานที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า
ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ปีที่สองของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สถาบันวิจัยเศรษฐศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ด ได้เปิดเผย การคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2565 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มต่างๆ ทั่วโลก ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า
รายงานฉบับนี้อ้างอิงจากเทรนด์สำคัญๆ โดยแนวโน้วเศรษฐกิจในปี 2565 จะถูกกำหนดโดยการปรับตัวเข้ากับโลกดิจิทัล "Digital Resilience" และการสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจผู้บริโภค "Experience Economy" ซึ่งจะแตกต่างจากการให้บริการและการขายสินค้าโดยทั่วไป แต่เป็นการสร้างความประทับใจและสร้างความคุ้มค่า ให้เกินความคาดหมายในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
การเปลี่ยนแปลงในการออมของครัวเรือน การเติบโตทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพื่อซื้อหา "สิ่งของ" หรือ ''ประสบการณ์" ใหม่ๆอยู่เสมอ ประกอบกับธุรกิจต่างๆ ที่ยังคงเดินหน้าสู่ยุคดิจิทัล จึงเผยให้เห็นปัจจัยพื้นฐาน 5 ปัจจัย ได้แก่ การออมและการใช้จ่าย ซัพพลายเชน การมีระบบดิจิทัลเป็นตัวเร่ง การเดินทางท่องเที่ยว และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้ง 5 ประการจะยังคงเป็นตัวกำหนดเศรษฐกิจของโลก
ผลการวิจัยที่สำคัญ ได้แก่
- การเดินทาง : การเดินทางท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากเปิดให้เดินทางข้ามประเทศได้ด้วยเที่ยวบินในเส้นทางระยะกลางและเส้นทางไกล ซึ่งจะเพิ่มขึ้นในปี 2565 ขณะที่ข้อจำกัดในการเดินทางได้ส่งผลให้การฟื้นตัวทั่วทั้งภูมิภาคเป็นไปอย่างช้าๆ ในปี 2564 โดยมีตลาดเพียงไม่กี่แห่งในเอเชียแปซิฟิกที่มีการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศกลับมาถึงเกือบ 69 เปอร์เซ็นต์ของช่วงก่อนการแพร่ระบาด จึงคาดว่า การท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มที่สดใสทั่วภูมิภาคในปี 2565
- การออมและการใช้จ่าย : การออมในประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้วในเอเชียแปซิฟิกเป็นกำลังสำคัญของการบริโภคในปี 2565 และปีต่อๆไป การได้เห็นผู้คนกลับมาใช้จ่ายเงินที่ออมไว้เร็วขึ้นอาจหมายถึงการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในตลาดหลายแห่ง รวมถึง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ด้วยอัตราราวๆ 2% ในปี 2565 การใช้จ่ายเงินออมของผู้บริโภคทั่วโลกจะมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของจีดีพีของโลกในปี 2565 เมื่อข้อจำกัดเกี่ยวกับการแพร่ระบาดเริ่มผ่อนคลายลง
- ระบบดิจิทัล : 20% ของธุรกิจค้าปลีกจะยังคงเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลและเป็นตัวกำหนดวิธีการจับจ่ายและสิ่งที่ผู้บริโภคซื้อหา เราได้เห็นการสมัครสมาชิกกับอีคอมเมิร์ซต่างๆ เพิ่มขึ้นในปี 2564 ในเกือบ 88% ของประเทศใน 32 ตลาดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว – โดยเฉลี่ยแล้ว สัดส่วนการสมัครสมาชิกกับการใช้จ่ายทั้งหมดเพิ่มขึ้น 1.25 เท่าจากปี 2563 ถึง 2564 ของ 6 ตลาดในเอเชียแปซิฟิก และธุรกิจที่จะได้รับผลประโยชน์จากโมเดลนี้ ได้แก่ บริษัทรถยนต์ บริการเพื่อนออกกำลังกายออนไลน์ การเช่าจักรยาน และบริการสัตว์เลี้ยง
- ซัพพลายเชน : มีการคาดการณ์ว่าในปี 2565 การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเพื่อซื้อหาบริการต่างๆ ในเอเชียจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการสินค้ายังคงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาซัพพลายเชนจะยังคงมีอยู่ ส่งผลให้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์สูงขึ้นต่อไปและราคาสินค้าทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น การส่งออกก็จะยังคงเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญในภูมิภาค
- ความเสี่ยง : ความเสี่ยงต่างๆ ยังคงมีศักยภาพที่จะสร้างปัญหาแก่เศรษฐกิจโลก โควิดสายพันธุ์ใหม่ เช่น โอมิครอนเป็นความเสี่ยงสูงสุดในตอนนี้ และยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ที่สามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นฟู ไม่ว่าจะเป็น การปรับราคาที่อยู่อาศัย ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และสถานการณ์การคลังหลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหมดลงในประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว
นอกจากนี้ เดวิด แมน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ มาสเตอร์การ์ด เอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง กล่าวว่า
" ถึงแม้ว่าปีที่ผ่านมาจะมีแต่ความไม่แน่นอน เราก็ยังคงมองโลกในแง่ดีสำหรับปีข้างหน้า และมีความคาดหวังว่าปี 2565 จะเป็นปีแห่งการฟื้นต้วด้านการท่องเที่ยวในเอเชีย
แม้ว่าการฟื้นตัวทั่วภูมิภาคจะไม่ได้เป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่เราคาดว่าความต้องการจับจ่ายและการนำเงินออมของมาใช้ของผู้บริโภคจะเพิ่มมากชึ้น เห็นได้จากการฟื้นตัวในกลุ่มสินค้าที่ฟื้นตัวได้ง่ายเช่น เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ความแข็งแกร่งที่ต่อเนื่องของอีคอมเมิร์ซ
และพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดเช่น การตกแต่งปรับปรุงบ้าน รวมไปถึงงานอดิเรกก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในรูปแบบการเป็นสมาชิก ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นแนวโน้มเชิงบวก แม้จะยังคงมีความกังวลจากโควิดสายพันธุ์ใหม่ เงินเฟ้อ และปัญหาซัพพลายเชนก็ตาม "