"คันทรี กรุ๊ป" คัด 13 หุ้นเด่นน่าลงทุนประจำสัปดาห์นี้ (24-28 ม.ค.65)
"บล.คันทรี กรุ๊ป" ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (24-28 ม.ค.65) แกว่งตัว 1,640-1,670 จุด แนะจับตาผลประชุมเฟด หากคงดอกเบี้ยตามคาดจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย พร้อมคัดเลือก 13 หุ้นเด่นน่าลงทุน
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS กล่าวว่า วันศุกร์ที่ผ่านมา (21 ม.ค.2565) ตลาดหุ้นสหรัฐ (Dow Jones และ NASDAQ) ยังคงปรับฐานลงต่อเนื่อง 1.3% และ 2.7% จากการปรับฐานลงของหุ้น Netflix แม้จะรายงานกำไรต่อหุ้นที่ดีกว่า Bloomberg คาดการณ์
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนให้น้ำหนักกับจำนวน Subscribers ที่บริษัทเปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเพียง 2.5 ล้านเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ 3.98 ล้าน และยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 6.93 ล้าน เมื่อต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์จึงเกิดแรงขาย และกดดันตลาดหุ้นสหรัฐในภาพรวม
ดังนั้น ดัชนี SET (SET Index) อาจเผชิญจิตวิทยาเชิงลบบ้างในช่วงต้นสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเชื่อว่าตลาดจะไปให้น้ำหนักกับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ม.ค.65 หรือทราบผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ม.ค.65 ช่วงเช้า เบื้องต้นตลาดคาดว่า ที่ประชุมจะยังคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ (โอกาสขึ้นดอกเบี้ยการประชุมครั้งนี้เพียง 5.4%)
แต่ตลาดคาดว่าดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้นใน มี.ค.ด้วยโอกาส 100% และปรับขึ้นทั้งหมดในปี 2565 รวม 4 ครั้ง พร้อมกับส่งสัญญาณดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (QT) ช่วงกลางปี 2565 หากออกมาเป็นไปตามนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐอาจมีโอกาสถูกซื้อกลับได้ เนื่องจากก่อนหน้าได้ปรับฐานลงมาแล้ว 6.8% (ตามที่ตลาดคาดการณ์) และ SET ก็อาจได้จิตวิทยาเชิงบวกบ้าง อย่างไรก็ตาม หากส่งสัญญาณเข้มงวดกว่าข้างต้นก็อาจจะเผชิญการปรับฐานลงได้ต่อ
สำหรับผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 4 ปี 2564 ของ SET100 กำไรรวมกลุ่มอยู่ที่ 3.56 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 2% จากไตรมาสก่อน โดยหลักเป็นผลจากรายได้ทั้งดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่ขยายตัวได้ และค่าใช้จ่ายด้านสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง
สำหรับแนวโน้มข้างหน้าประเมินว่ายังสดใส โดยได้แรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวตามภาวะคลายล็อกดาวน์ ซึ่งจะหนุนให้สินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยเติบโตประกอบกับก่อนหน้าธนาคารได้ตั้งสำรองไปพอสมควรแล้ว จึงน่าจะเห็นสำรองที่ลดลงจากนี้เป็นบวกต่อผลประกอบการ
สำหรับสัปดาห์นี้ (24-28 ม.ค.65) คาดว่าจะมี SCC SCGP PTTEP และ DTAC รายงานกำไรไตรมาส 4 ปี 2564 ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ (1) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ (24 ม.ค.65) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคผลิต Bloomberg ประเมินที่ 56.9 วันพรุ่งนี้ (25 ม.ค.65) ความเชื่อมั่นผู้บริโภค Bloomberg ประเมินที่ 111.9 เชื่อว่าตลาดอยากเห็นตัวเลขที่มิร้อนแรงจนเกินไปนัก เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ประเมินกรอบทั้งสัปดาห์ 1,640 – 1,670
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุน มองกลุ่มธนาคารที่สัปดาห์ก่อนเผชิญแรงขายตามข่าย (Sell on Fact) จะเป็นโอกาสสะสมด้วยแนวโน้มที่ยังสดใสจากที่กล่าวไปข้างต้น โดยเลือกหุ้นเด่น ได้แก่ BBL และ KBANK) รวมถึงหุ้นที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก (แลกการ์ด) ที่น่าสนใจ ได้แก่ BEM BJC CPALL M MAJOR MINT และ SHR
ส่วนการซื้อขายเก็งกำไร (เทรดดิ้ง) หากรับความเสี่ยงต่ำอาจรอผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยพิจารณาแต่หากรับความเสี่ยงได้สูง โดยแนะกลุ่มน้ำมัน PTTEP กลุ่มโรงกลั่น BCP SPRC และ TOP รวมถึงท่องเที่ยว AOT และ MINT
สำหรับ MINT แนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 38 บาท ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายเช่นกัน ขณะที่ปัจจุบันโควิด-19 ในภูมิภาคยุโรปก็เริ่มมีการระบาดที่ลดลง (รายได้หลัก) โดยเราประเมินปีนี้ MINT จะกลับมามีกำไรครั้งแรกในรอบ 2 ปี
KBANK แนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 172 บาท กำไรสุทธิปี 2565 จะโตต่อเนื่อง 10% จากปีก่อน โดยได้ผลบวกจากสำรองหนี้ฯ ที่ลดลง และรายได้การดำเนินงานเพิ่มขึ้นล้อกับเศรษฐกิจ คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น อัตราส่วนหนี้เสีย (NPL Ratio) ลดลงเหลือ 3.8% ในไตรมาส 4 ปี 2564 และระดับสำรองหนี้ฯ สูงเพื่อรับมือกับ NPLs ในอนาคต
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์