SAT ผลประกอบการ 4Q64F จะถูกกดดันชั่วคราว
จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ดีขึ้นในประเทศไทย ส่งผลให้การผลิตรถยนต์ในประเทศไทยฟื้นตัวขึ้น ดังนั้น เราจึงคาดว่ายอดขายของ SAT ใน 4Q64F จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 พันล้านบาท (+25% YoY,+10% QoQ)
โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง YoY จะสูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี (จากการส่งออกเพลาข้างไปยังทวีปอเมริกาเหนือ) และธุรกิจเครื่องจักรรถแทรกเตอร์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของยอดขายรวม)
กำไรปกติใน 4Q64F จะถูกกดดันชั่วคราวจากราคาเหล็กที่แพงขึ้น
หากไม่รวมรายการพิเศษ (ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว 50 ล้านบาทจากการปรับโครงสร้างของบริษัท) เราคาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 225 ล้านบาท (-7% YoY, +5% QoQ) ถึงแม้รายได้จะมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่กำไรปกติจะถูกกดดันชั่วคราวจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเหลือ 17.5% (-3.2 ppts YoY, -0.9ppts QoQ) จากราคาเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (Figure 7) ทั้งนี้ SAT สามารถจะส่งผ่านต้นทุนราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นไปให้ลูกค้าได้โดยมีช่วง lag time 3-6 เดือน
แนวโน้มรายได้ปี 2565F จะยังคงแข็งแกร่ง
สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมในปี 2565F เราคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็น 1.85 ล้านคันในปี 2565F (+10% YoY) เนื่องจากเราคาดสายพันธุ์ Omicron จะส่งผลกระทบในวงจำกัด ในขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช่วยหนุนการเติบโตของทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เราคาดรายได้ของ SAT จะเติบโตได้มากกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2565F ผลักดันจากคำสั่งซื้อใหม่จากเพลาข้างสำหรับรถกระบะคิดเป็นมูลค่าราว 300 ล้านบาท
Valuation & action
สำหรับในระยะต่อไป เรามองแนวโน้มในระยะสั้นยังคงแข็งแกร่งเพราะคำสั่งซื้อล่วงหน้าที่ SAT ได้รับจากลูกค้าใน 1Q65F ยังเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ ในขณะที่ธุรกิจใหม่ด้าน E-Bus อาจจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตในระยะยาว เรายังคงคำแนะนำซื้อ และประเมินราคาเป้าหมายปี 256F ที่ 28.00 บาท อิงจาก P/E ปี 2565F ที่ 11.5x เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว +0.5 S.D.
Risks
ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี และปัญหาขาดแคลนแรงงาน