สหรัฐยังครองแชมป์ไทยใช้สิทธิ GSP สูงสุด แม้ไทยถูกตัดสิทธิไปเมื่อปี 63
กรมการค้าต่างประเทศเผย ไทยใช้สิทธิ GSP 11 เดือนปี 64 3,437.38 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29.16% โดยสหรัฐฯ ครองอันดับ 1 ใช้สิทธิ GSP 3,071.76 ล้านดอลลาร์ เพิ่มสูงถึง 35.03%
นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผย ว่า สถิติการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ทั้ง 4 ระบบ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 ตั้งแต่ม.ค. – พ.ย. มีมูลค่า 3,437.38 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 29.16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 62.76% โดยไทยยังคงใช้สิทธิฯ ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นถึง 35.03% ในขณะที่การใช้สิทธิฯ ส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ลดลง 10.78% และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช ลดลง 11.42%
โดยอันดับ 1 สหรัฐอเมริกา มูลค่า 3,071.76 ล้านดอลาร์ สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และขยายตัวดีตลอด 11 เดือนในปี 64 อาทิ ถุงมือยาง มูลค่าการใช้สิทธิฯ 488.66 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 62.12% ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 286.79 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 73.26% กรดซิทริก มูลค่าการใช้สิทธิฯ 108 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวะ 65.62% ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 84.14 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.12% ผลไม้ ลูกนัต และส่วนอื่นที่บริโภคได้ของพืช ที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย มูลค่าการใช้สิทธิฯ 55.79 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 52.86% เป็นต้น
2 .สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 241.68 ล้านดอลลาร์ สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และขยายตัวได้ดี อาทิ ของผสมของสารที่มีกลิ่นหอมชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหรือเครื่องดื่ม มูลค่าการใช้สิทธิฯ 24.60 ล้าน ขยายตัว 25.67% ของที่ใช้ลำเลียงสินค้าหรือบรรจุสินค้า รวมทั้งจุก ฝาและที่ปิดครอบอื่นๆ ทำด้วยโพลิเมอร์ของเอทิลีน มูลค่าการใช้สิทธิฯ 11 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 8.69% ) หน้าปัดของนาฬิกาชนิดคล็อกหรือชนิดวอตช์ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 7.27 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.24 % เป็นต้น
3. กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช มูลค่า 109.38 ล้านดอลลาร์ สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และขยายตัวได้ดี อยู่ในกลุ่มสินค้าอาหาร อาทิ สับปะรดกระป๋อง มูลค่าการใช้สิทธิฯ 31.58 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวะ 14.65% ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก และปลาโบนิโต (ชนิดซาร์ดา) มูลค่าการใช้สิทธิฯ 9.81 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวะ 70.01 % ซอสและของปรุงแต่งสำหรับทำซอส มูลค่าการใช้สิทธิฯ 8.12 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 39.16% เป็นต้น
4. นอร์เวย์ มูลค่า 14.56 ล้านดอลลาร์ สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และขยายตัวได้ดี อาทิ ข้าวโพดหวาน มูลค่าการใช้สิทธิฯ 3.64 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 42.93% อาหารปรุงแต่งอื่นๆ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 2.36 ล้าน ขยายตัว 2.36 % เครื่องแต่งกายของสตรีหรือเด็กหญิงทำด้วยขนแกะหรือขนละเอียดของสัตว์ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 1.22 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 132.46% พาสต้ายัดไส้จะทำให้สุกหรือปรุงแต่งโดยวิธีอื่นหรือไม่ก็ตาม มูลค่าการใช้สิทธิฯ 0.52 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 197.94% พืชผักอื่น ๆ ที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย มูลค่าการใช้สิทธิฯ 0.45 ล้านดอลลาร์ขยายตัว 35.17% เป็นต้น
“สหรัฐฯ ยังคงครองแชมป์การใช้สิทธิ GSP สูงสุดต่อเนื่องแม้ว่าการต่ออายุโครงการ GSP ที่สิ้นสุดลงไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2563 จะยังอยู่ระหว่างการพิจารณาผ่านร่างกฎหมายจากรัฐสภาสหรัฐฯ “
ทั้งนี้ เนื่องจากการใช้สิทธิ GSP สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยังคงทำได้ตามปกติ เพียงแต่ผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะต้องจ่ายภาษีหรือวางหลักประกันการนำเข้าสินค้าไปก่อน โดยคาดว่าจะได้รับภาษีคืนเมื่อสหรัฐฯ ต่ออายุโครงการ GSP แล้วเสร็จ และสำหรับการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์และนอร์เวย์ ผู้ส่งออกที่ประสงค์จะใช้สิทธิ GSP สามารถรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ด้วยตนเอง โดยขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศที่เว็บไซต์ http://self-cert.dft.go.th/self-cert/home/ManualRex.aspx ซึ่งการส่งออกโดยใช้สิทธิประโยชน์จะช่วยสร้างแต้มต่อและโอกาสในการส่งออกสินค้าท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้
หากผู้ประกอบการมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือโทร สายด่วน 1385 รวมถึงไลน์แอปพลิเคชันชื่อบัญชี “@gsp_helper”