"หุ้น Meta"ขวัญใจกองทุน ชี้ราคาร่วงเป็นโอกาสเข้าลงทุน

"หุ้น Meta"ขวัญใจกองทุน ชี้ราคาร่วงเป็นโอกาสเข้าลงทุน

มอร์นิ่งสตาร์ เผย หุ้น Meta แม้ราคาร่วง 25% แต่กองทุนขนาดใหญ่ในสหรัฐยังชื่นชอบ นำโดยกอง Fidelity Contrafund ให้น้ำหนักลงทุน มากถึง 9.66% แต่กองทุนบางแห่ง ยังมองว่า คงต้องใช้ระยะเวลาพิสูจน์ความสำเร็จของ Metaverse บลจ.บัวหลวงแนะเก็บหุ้นเทคฯ สหรัฐ เป็นโอกาสช่วงปรับฐาน

หลังประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ราคาหุ้น Meta หรือ Facebook ก็ปรับลดลงกว่า 25% และทำให้มาร์เก็ตแคป  หายไปกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้กองทุนหลายๆกองที่มีการลงทุนในหุ้นดังกล่าวได้รับผลกระทบจากราคาที่ปรับลดลงไปด้วย

ที่ผ่านมาหุ้น Meta นับว่าเป็นหุ้นที่เป็นที่นิยมของกองทุนขนาดใหญ่หลายๆเจ้าในสหรัฐ และยังลงทุนด้วยสัดส่วนจำนวนมากอีกด้วย

ทาง Morningstar Direct ได้สำรวจกองทุนขนาดใหญ่ในสหรัฐที่ลงทุนในหุ้น Meta จำนวนมาก  นำโดย Fidelity Contrafund (FCNKX) ที่ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น Meta มากถึง 9.66%

รองลงมา Fidelity Advisor New Insights (FINSX) ที่   8.94% ,T.Rowe Price Blue Chip Growth  (TRBCX) ที่   6.7% ,First Eagle Fund of America (FEAFX) ที่   6.35% และ Sequoia Fund (SEQUX)  ที่  6.28%  

เมื่อเทียบกับ Morningstar U.S. Market index ที่ให้น้ำหนักเพียง 1.7% และ Morningstar Large Growth index ที่ให้น้ำหนักเพียง 3.7%

\"หุ้น Meta\"ขวัญใจกองทุน ชี้ราคาร่วงเป็นโอกาสเข้าลงทุน

โดยเหตุผลที่ผู้จัดการกองทุนชื่นชอบในหุ้น Meta เนื่องจากเห็นว่า "เป็นบริษัทที่สร้างอัตรากำไรการดำเนินงานได้อย่างแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสูง และเชื่อมั่นในความสามารถของผู้บริหารที่จะทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันและสามารถสร้างผลกำไรให้ดีขึ้นได้ต่อเนื่อง"

ทำให้โดยรวมแล้วกองทุนภายใต้การบริหารจัดการของ Fidelity จำนวน 22 กองทุนได้ลงทุนในหุ้น Meta รวมกันสูงถึง 3% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของกิจการ

นอกจาก Fidelity ยังมีกองทุนอย่าง T. Rowe Price Blue Chip Growth (TRBCX) ที่ลงทุนในหุ้น Meta ด้วยสัดส่วนที่สูงถึง 6.7% หรือ T. Rowe Communications & Technology Fund (PRMTX)  ลงทุนด้วยน้ำหนัก 5.7% ทำให้โดยรวมกองทุนภายใต้ T. Rowe Price จำนวน 6 กองทุน ได้ลงทุนในหุ้น Meta รวมกันสูงถึง 3% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของกิจการเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากองทุนประเภท Growth funds ส่วนใหญ่จะชอบการลงทุนในหุ้น Meta อย่างมาก แต่ในมุมของ Value funds อย่างเช่น FPA Crescent’s (FPACX) ลงทุนใน Meta เพียง 2.9% เท่านั้น โดยผู้จัดการกองทุนให้ความเห็นว่ายังเชื่อมั่นต่อภาพระยะยาวของ Meta แต่ยังคงต้องใช้ระยะเวลาเพื่อพิสูจน์ความสำเร็จของเมตาเวิร์สMetaverse) นอกจากนี้การที่ Mark Zuckerberg มีการลงทุนในเทคโนโลยีที่ดีอย่างเช่น Instagram ก็น่าจะช่วยส่งเสริมการเติบโตที่ดีในระยะยาวด้วย

Index-tracking funds  ที่ต้องลงทุนล้อไปกับน้ำหนักหุ้นตามแบบดัชนีอ้างอิงก็จะต้องลงทุนในหุ้น Meta เช่นกัน เช่น Vanguard Total Stock Market Index (VSMPX)ซึ่งลงทุนใน Meta ด้วยสัดส่วน 1.64%

กองทุน American Funds จาก Capital Group มีบางกองทุนที่มีการลงทุนใน Meta จำนวนมากเช่นกัน อย่างเช่นกอง Growth Fund of America’s (AGTHX) ที่ลงทุนถือหุ้นอยู่ด้วยน้ำหนักถึง 4%

\"หุ้น Meta\"ขวัญใจกองทุน ชี้ราคาร่วงเป็นโอกาสเข้าลงทุน

มอร์นิ่งสตาร์ เตือนลงทุนหุ้นเทคฯสหรัฐ หากเฟดขึ้นดบ.เร็ว

อย่างไรก็ตาม ในเดือนม.ค. ปีนี้ ผลตอบแทนเฉลี่ยของกลุ่ม Global Technology ปรับลดลง 13.1% สำหรับนักลงทุนไทยที่มีการกระจายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี

"ชญานี จึงมานนท์" นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) แนะว่าช่วงนี้ให้ระวังความเสี่ยงจากการลงทุนในกลุ่มหุ้นเติบโต (growth stock) ภายใต้ตลาดผันผวนค่อนข้างเร็ว เพราะถ้าเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.จะกด valuation หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงอีก 

 

บลจ.บัวหลวง แนะเก็บหุ้นเมกะเทรนด์ในสหรัฐ 

"พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา"  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า หุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี  เช่น กูเกิล  เมตา ไมโคซอฟต์ หรือธุรกิจที่มีอินโนเวชั่น เช่น ไบโอเทค และเฮลธ์แคร์  เป็นหุ้นที่เราคุ้นเคย และแนวโน้มหลังจากหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน การลงทุนจะไหลกลับไปสหรัฐ จะเห็นว่าปีที่ผ่านมาหุ้นสหรัฐทำนิวไฮแล้วนิวไฮอีก 

แนะนักลงทุนต้องจับตา ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือน มี.ค.นี้ ว่าจะมีประเด็นเซอร์ไพรส์ขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าทีตลาดคาดไว้หรือไม่ อาจทำให้มีแรงขายทำให้หุ้นสหรัฐปรับฐาน แต่เรามองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานเป็นโอกาสที่ดีเข้าลงทุน ในบริษัทที่เป็นธีมเมกะเทรนด์ ที่ราคาปรับตัวลงและยังมีอัพไซด์ต่อได้  

"มองว่า ตลาดสหรัฐจะมีแรงขายออก  แต่ก็ยังเป็นตลาดกระทิง  ซึ่งกระทิงไม่ได้ตายกันง่ายๆ  เจ้ามือของตลาดหุ้นสหรัฐ ตือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ที่เป็นตัวกำหนดราคาหุ้นและดัชนีตลาดว่าจะขึ้นหรือลงเป็นหลัก ไม่ใช่ธนาคารกลาง"

สอดรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปีนี้ จาก MSCI All-Country World Equity Index ชี้ให้เห็นว่าน้ำหนักการลงทุนจะไปอยู่ที่สหรัฐฯ ถึง 60%, ยุโรป 15% และจีน 3.87% ขณะที่ไทยอยู่เพียง 0.17% ซึ่งหากจะลงทุนอยากให้นักลงทุนมองว่ากองทุนนั้นๆ มีดัชนีชี้วัดมาตรฐานอย่างไร เช่น กองทุน BMAP มีการผสมผสานหุ้นทั่วโลก หรือ BCAP Global Multi Asset Fund ที่มีการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ และยังสามารถจับเมกะเทรนด์ได้

 

 กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนมาพร้อมธีมการลงทุนที่น่าสนใจ 

นายพีรพงศ์ กล่าวว่า ความเสี่ยงของการลงทุนในปีนี้คงจะหนีไม่พ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้ผู้ถือตราสารหนี้(บอนด์) จะเจอความเสี่ยง 2 เด้ง คือ เงินเฟ้อที่เพิ่มสูง และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ได้ผลตอบแทนเป็น Negative Return หรือติดลบ จึงเป็นโอกาสการลงทุนในตราสารทุน แม้จะมีการขี้นดอกเบี้ย แต่หุ้นก็ยังมีการเติบโตได้เมื่อเทียบกับบอนด์

 

ขณะที่การลงทุนปีนี้ แนะลงทุนในเมกะเทรนด์ที่มาแรง ประกอบด้วย 5 เรื่อง ได้แก่

  1. Aging Society, Ai 
  2. Big Data, Blockchain Technologies
  3. Climate Change, Cloud Computing, Cybersecurity
  4. Data Center, DeFi
  5. ESG, EV

ซึ่งทางบลจ.บัวหลวงก็จะมีกองทุนที่ลงทุนในเรื่องดังกล่าว ได้แก่ กองทุน B-INNOTECH, B-FUTURE ที่ลงทุนใน AI, Innovation เป็นต้น