ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า สำหรับราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นสูงขณะนี้ ส่งผลให้มาร์จินโรงกลั่นไปได้ดี ส่วนปิโตรเคมีทรงตัว จากกำลังผลิตใหม่ที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งราคาเม็ดพลาสติกดีขึ้น แต่พาราไซลีน (Paraxylene)และสายเบนซีน (Benzene)ลดลง แต่จะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของจีดีพีโลก
ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจในกลุ่มธุรกิจเก่าจะขึ้นไม่ดีมักขึ้นกับจำนวนกับดีมานด์และซัพพลาย ในส่วนของ GC เองมีสต็อกน้ำมันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรตรงนี้ แต่ห่วงจีดีพีโลก ราคาน้ำมันสูง กลุ่มโรงกลั่นเราผลิตดีเซลและฟิวออยล์จึงไม่มีคำตอบที่วิเศษว่าสูงและดีหรือไม่ดี เพราะหากราคาน้ำมันสูงมีสต็อกก็ดีอยู่แล้ว แต่อาจกระทบเศรษฐกิจโลกไม่ทำให้ดีจีดีพีต่ำด้วย
สำหรับทิศทางการดำเนินงานปี 2565 เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจอนาคต ซึ่ง GC มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มุ่งเน้นดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น บรรจุภัณฑ์ เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์การสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง พลาสติกเชิงวิศวกรรม ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่รอบตัวดังนั้นการจะให้ผลิตภัณฑ์ที่ดี กระบวนการผลิตและการบริหารจัดการจะต้องดี และดีต่อสิ่งแวดล้อมดีต่อโลก
“เราจะผลิตสินค้าที่มีมูลค่ามากขึ้น ปัจจุบันสินค้าทุกอย่างใช้สารเคลือบหมด ทั้ง รถ เครื่องบิน ตึกไม้ ฯลฯ ดังนั้น เราทำหลากหลายในช่วงเปลี่ยนผ่าน ส่วนธุรกิจเดิมต้องสร้างมูลค่า เช่น ผลิตของที่สามารถรีไซเคิล ช่วยลดสิ่งแวดล้อมตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ดังนั้น การเติบโตจากการทำธุรกิจจะต้องคาร์บอนต่ำ”
ดังนั้น GC ได้เดินหน้าธุรกิจแห่งอนาคตตอบโจทย์ลูกค้า อาทิ โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง คาดจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อผลิต High Heat Resistant Polyamide-9T ที่ 13,000 ตันต่อปี และ HSBC ที่ 16,000 ตันต่อปี และโครงการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน (PP) ของบริษัท HMC Polymers การปรับโครงสร้างธุรกิจ PVC ภายหลัง VNT ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายตลาด PVC ไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 465,128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% ซึ่งปี 2564 GC มีกำไรจากการดำเนินงาน 55,186 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 93% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ในปี 2564 มีกำไรสุทธิรวม 44,982 ล้านบาท (10.01 บาท/หุ้น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% จากปี 2563 ส่วนปีนี้ คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“คาดผลการดำเนินงานปีนี้จะดีต่อเนื่อง และรับรู้ผลกำไรจากการเข้าซื้อกิจการของ allnex ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านยูโร และการเข้าซื้อหุ้นของ วีนิไทย ช่วยเสริมผลการดำเนินงานมีการเติบโตระยะยาว”
ขณะเดียวกัน GC ยังมองหาโอกาสการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งน่าจะเห็นความคืบหน้าในเข้าซื้อกิจการออกมาต่อเนื่อง แต่คงยังไม่ใช่ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่เท่ากับการเข้าซื้อกิจการของ allnex
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ถือเป็นโครงการที่ดีน่าลงทุน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นฐานการผลิตที่ดี ต้นทุนต่ำ มีตลาดขนาดใหญ่ มีมูลค่าการลงทุนสูง จำเป็นต้องมีพันธมิตรร่วมลงทุน ทั้งนี้ ยังไม่มีเป้าหมายว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) เมื่อไหร่ เพราะยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ