3 โบรกฯ เปิดกลยุทธ์การลงทุน เทรดหุ้นอย่างไรในภาวะสงคราม
3 โบรกฯ “ทรีนีตี้-โนมูระฯ-กสิกรไทย” แนะจัดพอร์ตลงทุนในภาวะสงคราม ถือเงินสดเพื่อประเมินสถานการณ์ รอเข้าซื้อหุ้นที่แนวรับ 1,600-1,650 จุด พร้อมคัดหุ้นเด่นหลบภัย เหมาะลงทุนระยะกลาง-ยาว
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนท่ามกลางภาวะสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน สำหรับตลาดหุ้นไทย มีจุดแข็งเป็นหลุมหลบภัยระยะสั้น เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับรัสเซียและยูเครนในระดับต่ำ ทั้งในแง่การเมืองและในแง่เศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยหนุนจากเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงน้อยกว่าต่างประเทศ ดังนั้น หากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังส่งผลกดดันตลาดหุ้นโลก เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะยังเคลื่อนไหวได้โดดเด่น (Outperform) มากกว่า
สำหรับการลงทุนในประเทศ ระยะสั้น แนะนำซื้อขายทำกำไร (เทรดดิ้ง) กลุ่มพลังงาน ตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นสูง รวมถึงแนะนำซื้อกลุ่มหุ้นเชิงรับ (Defensive Stock) ที่เป็นหลุมหลบภัย ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มบริหารหนี้ (AMC) สามารถหลบภัยได้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยง
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นโลก ยอมรับว่าสถานการณ์ตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ ประเมินทิศทางอนาคตได้ลำบาก อย่างไรก็ดี หากพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ประกอบ ได้แก่ แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยิลด์) ที่ยังเป็นขาขึ้น
การลงทุน จึงไม่แนะนำกลุ่มหุ้นเติบโต (Growth Stock) โดยเฉพาะ Growth Stock ในตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐ และยุโรป เพราะมูลค่าหุ้นในตลาด (Valuation) อยู่ในระดับค่อนข้างสูงแล้ว ในทางกลับกัน แนะนำกลุ่มหุ้นคุณค่า (Value Stock) โดยเฉพาะประเทศเวียดนามและจีนที่มีกลุ่มหุ้นดังกล่าวในระดับสูง อีกทั้ง Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว
เมื่อสอบถามถึงการจัดพอร์ตลงทุน นายณัฐชาต กล่าวว่า แนะนำถือเงินสดเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุน (Wait and See) อย่างไรก็ดี สัดส่วนการถือเงินสด ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละท่านรับได้
ขณะที่การเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่าดัชนี SET (SET Index) ยังปรับลงมาไม่ถึงระดับที่น่าสนใจ เพราะนอกจากความเสี่ยงรัสเซียกับยูเครนแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเป็นผลจากการกลับมาติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหญ่ ดังนั้น จึงให้แนวรับรอบนี้ที่ 1,635 จุด เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยรอบใหม่
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า แม้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้จะผันผวน แต่มองเป็นจังหวะเข้าลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนในระยะกลางถึงยาว เพราะจากสถิติในอดีต SET Index สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ดีราว 8-16% ในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ ประเมินกรอบแนวรับในกรณีฐานที่ 1,650 จุด และในกรณีเลวร้ายที่สุด 1,600-1,620 จุด โดยการจัดพอร์ตลงทุน สำหรับพอร์ตความเสี่ยงระดับกลาง แนะนำถือหุ้น 60-65% ขณะที่หุ้นเด่นแนะนำลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร KBANK กลุ่มค้าปลีก CPALL กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ AP และ SC กลุ่มไฟแนนซ์ TIDLOR กลุ่มพลังงาน GPSC กลุ่มโรงพยาบาล BDMS และกลุ่มเหล็ก BM
นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุว่า สำหรับการบุกรุกที่จำกัดในขณะนี้ ฝ่ายวิจัยให้แนวรับหลักที่ 1,650-1,680 จุด ขณะที่การลงทุน แนะนำซื้อเมื่อย่อตัวในกลุ่มพลังงาน เพราะเชื่อว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะเป็นบวกต่อกลุ่ม ได้แก่ BCP ราคาเหมาะสม 31.25 บาทต่อหุ้น PTT 43.10 บาทต่อหุ้น PTTEP 130.00 บาทต่อหุ้น และ TOP 60.80 บาทต่อหุ้น
อย่างไรก็ดี หากมีการทำข้อตกลงทางการทูต นักลงทุนอาจเปลี่ยนไปซื้อหุ้นกลุ่มที่เคยเสียประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น (Anti-commodities) และขายกลุ่มพลังงาน ได้แก่ AVV ราคาเหมาะสม 3.51 บาทต่อหุ้น BA 12.58 บาทต่อหุ้น BGRIM 61.00 บาทต่อหุ้น CBG 111.00 บาทต่อหุ้น EPG 12.00 บาทต่อหุ้น
GPSC 85.00 บาทต่อหุ้น GULF 46.75 บาทต่อหุ้น OR 30.70 บาทต่อหุ้น OSP 39.00 บาทต่อหุ้น PTG 18.70 บาทต่อหุ้น PTTGC 60.50 บาทต่อหุ้น RBF 20.50 บาทต่อหุ้น SCC และ TOA 33.00 บาทต่อหุ้น