HARN คาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 เติบโต 17% (18 มี.ค. 65)
กำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 20.6 ลบ. เติบโต 13.2%YoY และ 104.0%QoQ : กำไรต่ำกว่าคาดที่ 32.4 ลบ. หรือต่ำกว่าคาด 57% จากรายได้ที่ต่ำกว่าคาดราว 4% โดยบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 265.7 ล้านบาท ทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้น 13.0%QoQ
เนื่องจากไม่มีการปิดหน่วยงานก่อสร้างในช่วงเดือนสิงหาคม ถึง กันยายน (ช่วงไตรมาส 3) ส่งผลให้บริษัทได้รับการสั่งซื้อจากลูกค้าเข้ามาประกอบกับการเลื่อนส่งมอบสินค้ามาเป็นในช่วง 4Q64 ทำให้รายได้เติบโตQoQ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 28.9% ปรับตัวลงจากระดับ 29.3% ใน 3Q64 และ ที่ระดับ 30.0% ใน 4Q63 อัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 7.5% เพิ่มขึ้นจาก 4.2% ใน 3Q64 และ 6.7% ใน 4Q63 ส่งผลให้บริษัท มีกำไรสุทธิงวด 4Q64 เท่ากับ 20.6 ลบ. ส่งผลให้ทั้งปี 64 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 72.2 ล้านบาท ลดลง 26.3%YoY ต่ำกว่าที่คาด 16% สาเหตุหลักเกิดจาก %GP ที่ต่ำกว่าคาด ด้านฐานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ปรับขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 0.28 เท่า อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 0.69 เท่า และมีสภาพคล่องรองรับการลงทุนเพิ่มโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินกู้
• คาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 เติบโต 17%YoY : เราปรับลดประมาณการรายได้ และกำไรสุทธิปี 65 จาก 1,246 ลบ. และ 108 ลบ. สู่ 1,180ลบ. และ 85 ลบ. ลดลง 6% และ 28% จากประมาณการเดิม เนื่องมาจากรายได้และกำไรในปี 64 ที่ต่ำกว่าคาด ส่วนทิศทางผลการดำเนินงานในปี 65 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายวันยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน แต่อาการไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า จึงทำให้เราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการเปิดประเทศและคาดว่าจะไม่มีมาตรการล็อคดาวน์ ปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุนให้งานก่อสร้างในประเทศกลับมาคึกคัก ส่งผลให้บริษัทมียอดขายทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ฟื้นตัว
โดยในปี 65 เราคาดว่ายอดขายของบริษัทจะเติบโตราว 15% เป็น 1,180 ลบ. มีปัจจัยสนับสนุนจากงานขายและติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง ทั้งในอาคาร สำนักงาน อาคารพักอาศัย ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมต่อมาผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศ VRF ที่เป็นที่นิยม จุดเด่นคือประหยัดพลังงาน ในส่วนของระบบทำความเย็น HARN เป็นผู้ผลิตชุดทำความเย็นให้กับบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (FORTH) สำหรับติดตั้งในตู้ชงกาแฟอัตโนมัติ “เต่าบิน” สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์การพิมพ์ดิจิทัลซึ่งใช้เทคโนโลยีการพิมพ์เลเบิล สติ๊กเกอร์ และผลิตภัณฑ์ระบบไอโอที ใช้สำหรับติดตั้งตามอาคารเพื่อติดตามการทำงานของระบบพื้นฐานของงานอาคาร ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 64 มี backlog 397 ล้านบาท (ใกล้เคียงกับงวดเดือน ก.ย. 64 ที่ 387 ล้านบาท) ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปี 65 และประมาณการกำไรสุทธิที่ 85 ล้านบาท เติบโต 17%YoY
• ปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”ราคาเหมาะสมสำหรับปี 65 เท่ากับ 2.66 บาท : ฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวจากผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย และเป็นสินค้าที่จำเป็นในอาคารและโรงงานโดยแม้เราปรับลดประมาณการในปี 65 แต่ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสำหรับปี 65 จาก 2.60 บาท เป็น 2.66 บาท ซึ่งอิงประมาณกำไรต่อหุ้นปี 65 ที่ 0.145 บาท และ Prospective P/E ที่ระดับ 18.34 เท่า (อิง PER ย้อนหลัง 5 ปีของบริษัทที่ระดับ +0.25SD) เนื่องจากเราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากการเปิดประเทศและยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์ ซึ่งจะสนับสนุนให้งานก่อสร้างในประเทศกลับมาคึกคัก ทั้งนี้ราคาเหมาะสมมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 14.66% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 4.2% ต่อปี เราจึงปรับคำแนะนำจากเดิม “ถือ” เป็น “ซื้อ”
ปัจจัยเสี่ยง :
1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความล่าช้าทำให้กำลังซื้อลดลง
2. การสูญเสียการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า
3. การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน
4. อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนส่งผลต่อต้นทุนสินค้านำเข้า