นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังไม่มีแนวคิดที่จะต่ออายุการขยายกรอบการใช้จ่ายเงินตามมาตรา 28 ในพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 โดยกำหนดให้มีการใช้จ่ายได้ในสัดส่วน 35% จากเดิม 30% ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งจะสิ้นสุดในปีงบประมาณ 2565 หรือสิ้นเดือนก.ย.นี้ เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการใช้เงินล่วงหน้ามากเกินไป
ทั้งนี้ ในพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 กำหนดกรอบการใช้จ่ายเงินในมาตรา 28 ว่า จะต้องไม่เกิน 30% ของวงเงินงบประมาณในแต่ละปี แต่ในช่วงกลางปี 2564 รัฐบาล โดยคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังภาครัฐที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มีมติให้ขยายกรอบการใช้จ่ายเงินดังกล่าวออกไปเป็น 35% กำหนดสิ้นสุดการขยายกรอบในปีงบประมาณ 2565 นี้
อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะต้องไปดูว่า ในงบประมาณของปี 2566 ซึ่งจะเริ่มใช้เม็ดเงินในวันที่ 1 ต.ค.2565 ว่า มีเม็ดเงินที่ตั้งชดเชยไว้สำหรับภาระรายจ่ายดังกล่าวจำนวนเท่าใด ซึ่งจะเข้ามาวันที่ 1 ต.ค. 2565 ก็จะทำให้เห็นกรอบวงเงินที่เหลือของมาตรา 28 ในพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
ทั้งนี้ จะต้องไปดูใน 2 ประเด็น ประเด็นแรก คือ โครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ สามารถปิดโครงการใดได้แล้วบ้าง ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องไปไล่ดูเพื่อปิดโครงการ และส่งเงินคืนกลับมา
ประเด็นที่ 2 คือ โครงการที่จะดำเนินในปี 2565 และ ปี 2566 นั้น จะต้องไปดูในเรื่องของความเหมาะสม หรือ ขนาดของโครงการ เช่น โครงการประกันรายได้ข้าว ที่ควรจะต้องปรับลดวงเงินลงมาให้อยู่ในกรอบของการใช้เงินตาม มาตรา 28
“ดังนั้น จะมีเงินจากวงเงินงบประมาณปี 66 ที่จำเข้ามาส่วนหนึ่ง จากการปิดโครงการส่วนหนึ่ง และขนาดของวงเงินที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่า 35% หรือ 30% นั้น เราจะกลับมาได้หรือไม่ แต่เราอยากให้กลับมา เพราะไม่อยากให้ใช้เงินล่วงหน้าให้มากเกินไป เพราะเงินที่กลับมาถ้าตั้งเต็มตามที่โครงการกำหนดก็จะไม่มีปัญหา”
นายอาคม กล่าวอีกว่า ส่วนใหญ่เวลาไปตั้งงบชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวในงบประมาณนั้น สำนักงบประมาณก็จะตั้งให้ไม่ครบ ทำให้พอกพูน ทำให้กรอบวงเงินไม่มีเหลือ แต่หากมีการตั้งงบเติมเข้ามาให้เต็ม เช่น เมื่อมีการใช้จ่ายไป 100 บาท และมีการตั้งงบประมาณชดเชยคืนมาให้ 100 บาทในปีงบประมาณถัดไป ก็จะไม่มีปัญหาเลย
“ขณะนี้ เงินที่ใช้จ่ายไปล่วงหน้ามีการสะสม จากการตั้งงบประมาณคืนมาให้น้อยกว่าที่ใช้ ในขณะที่ โครงการยังต้องดำเนินการยังต้องใช้จ่ายเงินอยู่ ทำให้รายจ่ายมันโป่ง”
ในส่วนของโครงการประกันรายได้เกษตรกร เช่น โครงการประกันราคาข้าวนั้นกระทรวงการคลังอยากให้มีการนำไปตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ แต่เนื่องจาก อาจมีข้อจำกัดว่า ในการตั้งงบประมาณจะต้องมีรายละเอียด และความชัดเจนในการจ่ายชดเชยให้เกษตร เช่น เกณฑ์การจ่ายเงิน เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ยังไม่มีการเสนอรายละเอียดมา จึงเข้าใจว่าอาจจะมีการขอใช้งบตามมาตรา 28 เหมือนเดิม
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ก็จะเข้าไปดูในเรื่องของหลักเกณฑ์การจ่ายชดเชยให้ละเอียดมากขึ้น ซึ่งยังต้องดูราคาสินค้าในตลาด ณ ขณะนั้นด้วย โดยขณะนี้ราคาสินค้าเกษตรขึ้นเกือบทุกตัว ยกเว้น ข้าวที่ราคายังไม่ปรับขึ้น ก็จะต้องไปดูเรื่องของซัพพลาย หรือ จำกัดปริมาณการผลิต ไม่เช่นนั้นข้าวก็จะล้นตลาดไปเรื่อย ส่งผลต่อราคาให้ตกลงตลอด ซึ่งมีกลไกของ นบข. ที่จะเข้าไปดูแลในเรื่องนี้อยู่แล้ว
ด้าน นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กล่าวถึงกรณีที่สื่อออนไลน์แห่งหนึ่งออกมาระบุว่า รัฐบาลมีภาระหนี้ที่ไม่จัดอยู่ในหนี้สาธารณะ และรอการชดใช้อยู่ถึง 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นการซุกหนี้ โดยกล่าวว่า ภาระดังกล่าวเกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีการรวบรวมและบรรจุไว้ในความเสี่ยงด้านการคลัง แต่กระทรวงการคลังได้ทำการรวบรวมเม็ดเงินการใช้จ่ายไว้
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้การใช้จ่ายดังกล่าวนั้น มีกรอบวงเงินต่องบประมาณที่ชัดเจน โดยได้กำหนดไว้ในมาตรา 28 ในพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังปี 2561 ที่ระบุว่า การใช้จ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกิน 30% ของงบประมาณประจำปี
“เราได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในรายงานความเสี่ยงทางการคลัง ซึ่งต้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีในทุกๆ ปีอยู่แล้ว ฉะนั้น ภาระดังกล่าวก็ได้มีการเปิดเผย จึงไม่ได้เป็นการซุกหนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ภาระหนี้ดังกล่าว ไม่ได้ถูกบันทึกเป็นหนี้สาธารณะ เนื่องจากเป็นรายจ่ายที่รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณชดเชยในแต่ละปีอยู่แล้ว”
เขากล่าวด้วยว่า ไม่ห่วงว่า การใช้จ่ายตามมาตรา 28 จะเป็นภาระรายจ่ายของรัฐบาลมากเกินไป เนื่องจาก ในกฎหมายพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังดังกล่าว ได้กำหนดกรอบการใช้จ่ายไว้ชัดเจนอยู่แล้ว
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภาระรายจ่ายดังกล่าว ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ เนื่องจาก เป็นการใช้จ่ายตามนโยบายรัฐบาล โดยให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะแบงก์รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายไปก่อน จากนั้นรัฐบาลจะตั้งเป็นงบประมาณชดเชยให้ในแต่ละปี จึงถือเป็นรายจ่ายของรัฐบาล ไม่ได้ถูกนับเป็นหนี้ เช่น โครงการประกันรายได้พืชผลการเกษตร โครงการลดภาระต่างๆ ให้แก่ประชาชน เช่น ลดดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์