Bank run ดันดอกเบี้ยกลับทิศ ถึงเวลาสะสมหุ้น Quality Growth !
จากประเด็นแบงก์ล้มนี้ทำให้ตลาดปรับมุมมองคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทันทีโดยตลาดประเมิณว่าเฟดจะหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นและยังคาดว่าจะได้เห็นดอกเบี้ยกลับทิศทางเป็นขาลงภายในปีนี้
ประเด็นแบงก์ล้มในช่วงที่ผ่านมา สร้างความกังวลต่อประชาชนและสั่นคลอนภาพการลงทุนในวงกว้าง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐกลับทิศอย่างรวดเร็ว และทำให้หุ้นกลุ่มเติบโตที่ได้รับแรงกดดันตลอดช่วงปีที่ผ่านมากลับมาน่าสนใจ
กรณีแบงก์ล้มในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Silvergate Bank, Silicon Valley Bank และ Signature Bank ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เนื่องจากสินทรัพย์ของธนาคารเหล่านี้รวมกันมีมูลค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤต Subprime เมื่อปี 2008 แม้ทางการสหรัฐฯจะเข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้โดยการประกาศคุ้มครองเงินฝากของธนาคารเหล่านี้
และจัดตั้งโครงการ Bank Term Funding Program (BTFP) เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นี้ลุกลามไปยังสถาบันการเงินอื่นจนอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ แต่นั่นอาจไม่เพียงพอ เพราะปรากฎการณ์แบงก์ล้มติดต่อกันภายในช่วงเวลาอันรวดเร็วเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ชี้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมานั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและปรับขึ้นในอัตราที่มากจนเกินไป
จากประเด็นแบงก์ล้มนี้ทำให้ตลาดปรับมุมมองคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทันทีโดยตลาดประเมิณว่าเฟดจะหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นและยังคาดว่าจะได้เห็นดอกเบี้ยกลับทิศทางเป็นขาลงภายในปีนี้
โดยล่าสุดประเมิณว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นไปสูงสุด (Terminal Rate) ที่ระดับ 5.00% ลดลงจากเดิมที่คาดไว้ที่ 5.50% ซึ่งการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯครั้งล่าสุดก็เป็นไปตามที่ตลาดคาด คือปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพียง 25bps ไปสู่ระดับ 4.75%-5.00%
และคาดการณ์ล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ณ วันที่ 5 เม.ย. ระบุว่า มีโอกาสกว่า 56% ที่เฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมธนาคารกลางรอบถัดไปในวันที่ 3 พ.ค. นี้ รวมถึงยังชี้ว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเดือนกันยายนด้วย ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับประมาณ 4% สู่ระดับล่าสุดที่ประมาณ 3.3%
ภาพของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากดอกเบี้ยขาขึ้นที่เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) ทำให้ MSCI ACWI Growth Index ถูกเทขายอย่างหนักถึง 29% ในปีที่ผ่านมา กลับทิศทางเป็นหยุดขึ้นและอาจเริ่มเห็นดอกเบี้ยเป็นขาลงในปีนี้ ทำให้หุ้น Growth มีโอกาสกลับมา Outperform ได้เร็วกว่าเดิม
โดยรายได้ของหุ้นกลุ่ม Growth ทั่วโลก (MSCI ACWI Growth Index) มีแนวโน้มจะเติบโตได้ราว 8.64% ในปี 2023 และ 16.36% ในปี 2024 ในขณะที่อัตราการเติบโตของดัชนี S&P500 มีโอกาสออกมาเป็นลบที่ -1.71% ในปี 2023 และกลับมาเติบโตได้ในปี 2024 ที่ 10.12% แต่ยังเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าหุ้น Growth อยู่ดี
ในขณะที่ปัจจุบัน MSCI ACWI Growth Index มี Forward P/E ที่ประมาณ 24 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ที่ประมาณ 29 เท่า ถึง 20% จึงแนะนำให้ใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth กลุ่มหุ้นที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น และมีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งหุ้นเหล่านี้อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเฮลท์แคร์ และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย หรืออาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในกลุ่มหุ้น Quality Growth ทั่วโลกก็สามารถทำได้เช่นกัน
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเองสามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่[email protected] I บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPTTM Senior Wealth Manager