WHA Group คาดผลตอบแทนปี 2565 ทำออลไทม์ไฮ โต 20% รับการกลับมาของนักลงทุน
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป คาดผลประกอบการปี 2565 จะสูงเป็นประวัติการณ์ คาดการณ์รายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติโต 20% บูมธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมขยายตัวโดดเด่นปีนี้รับการกลับมาของนักลงทุน
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะยังดำเนินการตามแผนโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลในทุกกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะ ควบคู่ไปกับการรักษางบดุลที่แข็งแกร่ง ตามแผนกลยุทธ์การเติบโตและการลงทุนระยะเวลา 5 ปี ด้วยงบ 50,000 ล้าน พร้อมก้าวสู่การเป็น Tech Company ในปี 2567
สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 2565 แบ่งตามประเภทธุรกิจ ดังนี้
กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ คาดว่า ปี 2565 จะเป็นปีแห่งความรุ่งโรจน์ หลังจากผลประกอบการครึ่งแรกของปีเป็นไปตามเป้าหมายและยังมีโครงการที่เตรียมส่งมอบในช่วงครึ่งปีหลังอีกหลายโครงการ โดยธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ มุ่งเน้นการจัดหาบริการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า ด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ รวมถึงความร่วมมือกับธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ
ล่าสุด ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังได้ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซอีก 2 แห่ง คือ บริษัท เมอร์คูลาร์ จำกัด (Mercular) สตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยี และ บริษัท มั่งมี อีคอมเมิร์ซ จำกัด (Mungmee) สตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซ B2B ที่มุ่งปฏิวัติการค้าแบบดั้งเดิมของไทยให้ทันสมัยด้วยการใช้เทคโนโลยี และข้อมูลแบบบูรณาการเพื่อปรับระบบการ ทำงานของผู้ใช้งานให้เป็นรูปแบบดิจิทัล
"ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเหล่านี้ เพื่อจะผสานความร่วมมือและกิจกรรมทางธุรกิจเข้ากับระบบนิเวศโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าระดับพรีเมียม"
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ยังมีสำนักงานให้เช่า 6 แห่ง ในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ รวมพื้นที่ 100,000 ตร.ม. ซึ่งรวมถึงดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทฯ ในย่านบางนา และ WHA KW S25 โครงการสำนักงานล่าสุด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในราวกลางปี 2566
กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม มีแผนขยายธุรกิจในเวียดนามให้เติบโตมากขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยในครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามได้ถึง 513 ไร่ โดยบริษัทมีความพร้อมที่จะต้อนรับนักลงทุนด้วยพื้นที่อุตสาหกรรมพร้อมขายกว่า 4,250 ไร่ ในทำเลยุทธศาสตร์
ในปี 2565 การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 1,281 ไร่ ในขณะที่การก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE 4) ขนาด 573 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 และจะเริ่มก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนตุลาคมนี้
ทั้งรี้ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายที่ดินขนาด 600 ไร่ กับบริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งเป็นการซื้อขายที่ดินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปี โดยคาดว่าโรงงานผลิตรถไฟฟ้าแห่งใหม่นี้จะเริ่มดำเนินการในปี 2567
สำหรับการขยายลงทุนในประเทศเวียดนาม หลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการในจังหวัดเหงะอานเฟสแรก จึงเร่งก่อสร้างเฟส 2 ขนาด 2,215 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง โดยในระยะต่อไปบริษัทวางยุทธศาสตร์ในการขยายนิคมอุตสาหกรรมไปยังจังหวัดหลักๆ อย่างต่อเนื่องอีก 2 โครงการ ได้แก่
เขตนิคมอุตสาหกรรมโครงการ ‘WHA Smart Technology Industrial Zone – Thanh Hoa’ ขนาด 5,625 ไร่ รวมส่วนต่อขยายในจังหวัดถั่งหัว ซึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติ ซึ่งจะเป็นนิคมฯ ที่รองรับความต้องการของนักลงทุนกลุ่มเทคโนโลยีมูลค่าสูง และสนับสนุนการขยายโครงการ 'Northern Technology Corridor' ตามนโยบายของเวียดนาม
และโครงการ ‘WHA Smart Eco Industrial Zone – Quang Nam’ ในจังหวัดกว๋างนาม บนพื้นที่ขนาด 2,500 ไร่ ตั้งเป้าที่จะรองรับอุตสาหกรรมไฮเทคสะอาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องกล ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม การแพทย์ หรือโลจิสติกส์
กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน เดินหน้าขยายธุรกิจสาธารณูปโภคทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์น้ำเพิ่มมูลค่า เช่น น้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) และน้ำปราศจากแร่ธาตุ ซึ่งมีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 19% พร้อมขยายพอร์ทธุรกิจด้านพลังงานด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียนด้วยนวัตกรรม จากโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม พลังงานลมและธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าได้ 300 เมกะวัตต์ ในช่วง 2-3 ปีนี้ และมองภาพใน 5 ปี จะมีกำลังการผลิตรวม 1,600 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ WHAUP ยังได้เซ็นสัญญาซื้อขายน้ำกับลูกค้าที่ต้องใช้น้ำจำนวนมาก ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ อุตสาหกรรมการผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์
นอกจากนี้ อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโซลูชันดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ WHAUP ได้ร่วมกับ PTT และ Sertis พัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading โดยมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange ("RENEX") ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และอำนวยความสะดวกในการซื้อขายพลังงานของผู้ใช้ในอุตสาหกรรม
โดยโครงการนี้ได้เข้าร่วมในโครงการ ERC Sandbox ของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการพลังงาน (ERC) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทที่เข้าร่วมโครงการสามารถซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างกันได้อย่างอิสระโดยตรงผ่านโครงข่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
กลุ่มธุรกิจดิจิทัล เพิ่มศักยภาพธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงบริการและโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น
โดยปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างรากฐานด้านดิจิทัลให้กับองค์กร รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลและทักษะด้านนวัตกรรมให้กับพนักงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังมีการสำรวจเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ โดยมีแผนที่จะเปิดตัว META W เมตะเวิร์สอุตสาหกรรมรายแรก ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัทในยุคดิจิทัล
นางสาวจรีพร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในปี 2565 เรามองเห็นความก้าวหน้าอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ การเปิดประเทศอีกครั้ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ตามมาในยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด–19 ทำให้เห็นการกลับมาของนักลงทุน เห็นได้จากข้อตกลงใหญ่ ๆ และโครงการที่มีมูลค่าเพิ่มต่าง ๆ ของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ดังนั้น เราจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายของปี 2565 ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี ทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ รวมถึงการปรับเป้ายอดขายที่ดินขึ้นเป็น 1,650 ไร่
ประการที่ 2 คือ การดำเนินการตามแผนการลงทุนระยะเวลา 5 ปี มูลค่า 50,000 บาท รวมถึงโรดแมพการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล ซึ่งจะปูทางไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และก้าวสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีในอนาคต