WHA ตะลุยโลก "เมตาเวิร์ส" เสิร์ฟลูกค้าทั่วโลก “นิคมฯ-เช่าพื้นที่”
"ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น" บุกโลก "เมตาเวิร์ส" เดินหน้าปลดล็อกลูกค้าทั่วโลก "ซื้อที่ดิน-เช่าพื้นที่'' เผยโมเดลธุรกิจของเมตาเวิร์สจะเข้ามาเป็นหนึ่งในโมเดลธุรกิจรูปแบบหนึ่งของ WHA ในอนาคต !!
ในโลกของ “เมตาเวิร์ส” (Metaverse) เป็นโลกใหม่ก็จริง ฟังดูล้ำ ฟังดูจับต้องได้ยาก แต่ถึงสุด มันไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด แถมยังมีโอกาสอีกมากมายในทางธุรกิจอีกด้วย ! และหนึ่งในเอกชนที่กำลังจะเปิดตัว “โลกเสมือนจริง” ซึ่งยกให้เป็นอีกหนึ่งของ Business Model ใหม่ของเครือ !
“จรีพร จารุกรสกุล” ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่กลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ” ฟังว่า ในช่วงปลายไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทจะเปิดตัวธุรกิจในกลุ่ม Digital Business อย่าง “เมตาเวิร์ส” โดยเบื้องต้นจะเปิดตัวโชว์โมเดล 2 ธุรกิจ คือ “เมตาเวิร์สทาวเวอร์” และ “เมตาเวิร์สนิคมอุตสาหกรรม”
เนื่องจากธุรกิจของ WHA มีลูกค้าอยู่ทั่วทุกมุมโลก และที่ผ่านมาติดปัญหาไม่สามารถเข้ามาดูสถานที่จริงในเมืองไทยได้ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้น การเปิดตัวเมตาเวิร์สจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวให้กับลูกค้าทั้งในส่วนของนิคมฯ และ ทาวเวอร์ ได้ ซึ่งลูกค้าจะอยู่ส่วนไหนของโลกสามารถเข้ามาเยี่ยมชมและจัดกิจกรรมร่วมกันได้
“คนอื่นๆ ทำเมตาเวิร์สในการท่องเที่ยวและการเดินชอปปิ้งในห้างสรรพสินค้า แต่เราทำเมตาเวิร์สในมุมของธุรกิจทั้งในนิคมอุสาหกรรม และธุรกิจทาวเวอร์”
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้จะเห็นว่า WHA มีความคืบหน้าให้ดูแล้วในมุมของการลงทุนในโมเดลธุรกิจดิจิทัลอย่าง เมตาเวิร์ส ซึ่งจะเห็นในมุมว่าเราคิดยังไงกับโมเดลธุรกิจของเมตาเวิร์ส ว่าจะเข้ามาเป็นหนึ่งในโมเดลธุรกิจรูปแบบหนึ่งของ WHA ได้
“จรีพร” บอกต่อว่า จุดเริ่มต้นเมตาเวิร์สจะเป็นโมเดลธุรกิจที่สามารถต่อยอดธุรกิจในอนาคตได้อีกหลากหลายอย่าง ซึ่งปัจจุบันบริษัทกำลังดำเนินการในดิจิทัลอีกหลายช่องทาง สอดคล้องกับแผนธุรกิจของ WHA โดยในกลุ่ม “ธุรกิจดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม” บริษัทจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลและนำนวัตกรรม รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ
รวมทั้ง บริษัทเดินหน้าวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยปัจจุบันได้มีการติดตั้งโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสง (FTTx) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม 11 แห่ง ประกอบกับยังได้ขยายธุรกิจให้ครอบคลุม การบริหารจัดการเสาโทรคมนาคมใหม่ทั้งหมดภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ซึ่งจะรวมถึงการก่อสร้างเสาโทรคมนาคมและสถานีฐาน และการให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมมาเช่าพื้นที่บนเสาโทรคมนาคมเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นในการรับและกระจายสัญญาณเครือข่ายทั้ง 3G 4G และ 5G
นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรพิเศษจาการจำหน่าย Data Center 2 แห่ง ในขณะที่ธุรกิจศูนย์บริการระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data Center) บริษัทมีกำไรจากการจำหน่ายดาต้าเซ็นเตอร์แล้ว
อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงปี 2565-2566 กลุ่ม WHA มีแผนการผลักดันในการลงทุนโครงการดิจิทัลเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI IoT Big Data ระบบอัตโนมัติ และวิทยาการหุ่นยนต์ มาปรับใช้งาน และมองหาโอกาสใหม่ๆ ในด้าน Metaverse เทคโนโลยีควอนตัม และระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเข้ามาเสริมและสนับสนุนศักยภาพการบริการของกลุ่ม WHA และสามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เข้ามาให้กับบริษัทได้เพิ่มเติม และผลักดันเป้าหมายการให้ WHA ก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีภายในปี 2567
สำหรับงบลงทุน 50,000 ล้านบาท ที่ “ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป” ได้ตั้งไว้สำหรับการลงทุนภายใน 5 ปีข้างหน้านั้น ประกอบด้วย งบลงทุนสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ 18,000 ล้านบาท ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 18,000 ล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 10,000 ล้านบาท และอีก 4,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจสตาร์ทอัพและเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและทรานสฟอร์มองค์กรสู่บริษัทเทคโนโลยีอย่างสมบูรณ์
“เรามองปี 2565 ด้วยความมั่นใจและในด้านบวก เพราะเราเชื่อว่า ข้อจำกัดต่างๆ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย โดยเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เราจะเดินหน้ากระบวนการทรานสฟอร์มธุรกิจทุกฮับของเราให้เป็นดิจิทัลต่อไป โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะและนวัตกรรมเพื่อยกระดับการดำเนินงานของเราให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ความพร้อมทางด้านดิจิทัลของเราและความสามารถในการนำเทคโนโลยีใหม่มาปรับใช้ตามแผนการลงทุนของบริษัทจะส่งผลต่อความสามารถของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในการต้อนรับนักลงทุน และเปลี่ยนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมถึงช่วยขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ของรัฐบาลได้เป็นอย่างมาก”