จีดีพีเกษตรปี 66 คาดโต 2-3% จับตาภูมิรัฐศาสตร์-ปัจจัยผลิตป่วน
ภาคการเกษตรมีสัดส่วนต่อรายได้ประชากรประเทศสูงที่สุดในแง่จำนวนคน แต่มูลค่าเฉลี่ยต่อคน นั้ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยปี 2565 ที่ผ่านมาจีดีพีเกษตรไม่ค่อยสดใสแต่หากมองต่อไปปี 2566 ก็พบว่ามีทิศทางที่น่าสนใจแต่ก็มีหลายปัจจัยที่ยังต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ฉันทานท์ วรรณเขจร เลขาธิการ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตร(จีดีพีเกษตร)ในปี 2566 คาดว่า จะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.0 – 3.0 %โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่มีเพียงพอสำหรับการทำเกษตร การดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐด้านการเกษตรในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2566 ยังมีปัจจัยเสี่ยงและสถานการณ์สำคัญที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีความแปรปรวนมากขึ้น ราคาปัจจัยการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งราคาน้ำมัน ปุ๋ย สารเคมีกำจัดโรคและแมลง และวัตถุดิบอาหารสัตว์ การระบาดของโรคพืชและสัตว์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่อาจกลับมาระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้ง ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลก
ในส่วนภาวะจีดีพีเกษตร ปี 2565 ขยายตัว 0.8% เมื่อเทียบกับปี 2564 และต่ำกว่าเป้าที่คาดว่าจะขยายตัว 2-4 % โดยสาขาพืช สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัว ขณะที่สาขาปศุสัตว์และสาขาประมงหดตัว ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน คือ ปริมาณน้ำฝนในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีมากกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญและในแหล่งน้ำตามธรรมชาติมากขึ้น เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทำประมง
รวมถึงสภาพอากาศโดยทั่วไปที่เอื้ออำนวย ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดในช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรเพิ่มการผลิตและมีการบำรุงดูแลรักษามากขึ้น การดำเนินนโยบายและมาตรการของภาครัฐ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในด้านต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมอาชีพเกษตรทั้งด้านการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและใช้ปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสมเพื่อลดต้นทุนการผลิต การเฝ้าระวังโรคพืชและสัตว์
การบริหารจัดการน้ำและให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติ การยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมาตรฐาน และบริหารจัดการสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงการขยายช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้เกษตรกรสามารถทำการผลิตได้ต่อเนื่องและมีช่องทางในการจำหน่ายสินค้าเกษตรมากขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “คนละครึ่ง” ทำให้คนไทยมีการเดินทางท่องเที่ยวและใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 การเปิดประเทศ และเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว
นอกจากนี้ เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าปรับตัวดีขึ้น และความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าเกษตรของไทย ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ขยายตัวได้มากขึ้น
ส่วนปัจจัยลบ คือ ปรากฏการณ์ลานีญาที่มีกำลังแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงอิทธิพลของลมมรสุมและพายุที่เข้ามาหลายระลอกในช่วงไตรมาส 3 โดยเฉพาะ พายุ “โนรู” ที่พัดเข้าไทยโดยตรงในช่วงปลายเดือนกันยายน ทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากเกือบทั้งประเทศ
ขณะที่มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติสะสมอยู่มาก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือ ซึ่งพื้นที่ทางการเกษตรและผลผลิตบางส่วนได้รับความเสียหาย ประกอบกับราคาปัจจัยการผลิตที่สูงขึ้นทั้งราคาน้ำมัน ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช และวัตถุดิบอาหารสัตว์ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรสูงขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคสัตว์ ทำให้มีการชะลอการเลี้ยง ควบคุมปริมาณการผลิต นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ มาตรการ Zero-COVID ของจีน และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทย
เมื่อพิจารณาแต่ละสาขา พบว่า สาขาพืช ขยายตัว 2.1% โดยพืชสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน ปาล์มน้ำมัน ลำไย และทุเรียน ส่วนพืชที่ลดลง ได้แก่ มันสำปะหลัง ยางพารา มังคุด และเงาะ
สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 2.7% เนื่องจากเกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง และราคาอ้อยโรงงานที่อยู่ในเกณฑ์ดี
สาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.0% เนื่องจากไม้ยูคาลิปตัสเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ในการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล และอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น การผลิตเยื่อกระดาษ การก่อสร้าง ถ่านไม้
สาขาประมง หดตัว 2.0% เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน มีมรสุมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนการทำประมง โดยสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือมีปริมาณลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม กุ้งทะเลเพาะเลี้ยงมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น แม้ว่าเกษตรกรบางส่วนยังคงประสบปัญหาการระบาดของโรคกุ้ง
สาขาปศุสัตว์ หดตัว 3.0% โดยสินค้าปศุสัตว์ที่ลดลง ได้แก่ สุกร ไข่ไก่ และน้ำนมดิบ สำหรับสุกรมีผลผลิตลดลง เนื่องจากปริมาณแม่พันธุ์สุกรในระบบลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร ส่วนสินค้าปศุสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ไก่เนื้อ และโคเนื้อ โดยไก่เนื้อมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ