“ฮ่องกง”รุกดึงไทยลงทุน การเงิน-ฟินเทค-นวัตกรรม
“สตีเฟน” อธิบดีกรมส่งเสริมการลงทุนฮ่องกง เผยเศรษฐกิจฮ่องกงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจีนเปิดประเทศ เห็นชัดครึ่งหลังปีนี้ สะท้อนปัจจัยบวกการลงทุน ชวนไทยบุกตลาดฮ่องกง ทั้งรายใหญ่และสตาร์ตอัป เจาะ 3 กลุ่มหลัก ฟินเทค นวัตกรรม เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการบริการ
"ฮ่องกง" เป็นตลาดที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยศักยภาพ รวมไปถึงโอกาสใหม่สำหรับนักธุรกิจทั่วโลก ด้วยปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ แรงงานทักษะสูงและนักท่องเที่ยว โดยในปี 2561 ฮ่องกงต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 65.15 ล้านคน โดย 78.3% มาจากประเทศจีน นักท่องเที่ยวจำนวนกว่าครึ่งพักค้างคืนและใช้จ่ายคนละประมาณ 29,763 บาท โดยเป็นการใช้จ่ายในภาคค้าปลีกมากกว่า 50%
สำนักงานส่งเสริมการลงทุนฮ่องกง (Invest Hong Kong) ได้เข้าร่วมประชุม WAIPA APAC IPAS Investment Conference and Workshop ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 21-23 ก.พ.2566 ที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เพื่อนำเสนอโอกาสการดึงนักธุรกิจไทยไปลงทุนในฮ่องกง
สตีเฟ่น ฟิลิปส์ อธิบดีสำนักงานส่งเสริมการลงทุนฮ่องกง (Invest Hong Kong) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ฮ่องกงมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพด้วยระบบภาษีที่ไม่ซับซ้อนและสภาพแวดล้อมที่ง่ายต่อการทำธุรกิจ (ease of doing business) และโอกาสจากยุทธศาสตร์เขตเศรษฐกิจพิเศษ Greater Bay Area (GBA) ประกอบด้วย ฮ่องกง มาเก๊าเสิ่นเจิ้น และกวางเจา ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 11 ของโลกและมีแนวโน้มเติบโตสู่อันดับ 5 ของโลกในปี 2030
ทั้งนี้ โอกาสในการลงทุนในฮ่องกง แบ่งออกเป็น 3 เซกเตอร์หลัก ประกอบด้วย
1.ธุรกิจการเงิน ฟินเทค ธนาคารและบริการทางการเงิน
2.ธุรกิจไฮเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะ เอไอ ชีววิทยาศาสตร์และการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
3.ธุรกิจสร้างสรรค์และไลฟ์สไตล์ ซึ่งไทยมีความแข็งแกร่ง ได้แก่ ธุรกิจด้านบริการเวลเนสและสปา อาหารและเครื่องดื่ม
ทั้งนี้ การที่ฮ่องกงเปิดให้มีการเดินทางเข้าออกอย่างเสรี ยอดการค้าปลีกในฮ่องกงยังมีมูลค่ากว่า 1.588 ล้านล้านบาท ในปี 2564 แม้ต้องเผชิญความท้าทายจากโควิด-19 โดยธุรกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ ค้าปลีก เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ นาฬิกา และของขวัญล้ำค่าต่างๆ ซึ่งมียอดขายรวมกันกว่า 6.03 แสนล้านบาท
“ถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนของไทย เนื่องจากสินค้าของไทยเป็นที่นิยมสูงในฮ่องกงทำให้สามารถพบได้ทั่วไปตามร้านขายของ และร้านอาหารไทยในฮ่องกงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยประมาณ 370 ร้าน ซึ่งเติบโตปีละประมาณ 2.5%”
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ฮ่องกงให้กับธุรกิจ คือ ระบบภาษีที่ขึ้นชื่อว่าเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่และสตาร์ตอัปที่ยังอยู่ในช่วงการเติบโต ฮ่องกง จะคิดอัตราภาษีเพียง 8.25% ครึ่งหนึ่งของอัตราภาษีนิติบุคคล สำหรับผลกำไร 9 ล้านบาทแรก รวมถึงการให้ลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่มีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา 1 แสนดอลลาร์ จะได้ลดหย่อน 3 แสนดอลลาร์
“ประธานาธิบดีสี ยังมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่อง ”หนึ่งประเทศสองระบบ“ ซึ่งจะรับประกันความมั่นคงระยะยาวให้กับนักลงทุนต่างชาติในฮ่องกง เพื่อเชื่อมโยงการลงทุนต่างชาติเข้ามาในพื้นที่กับจีนแผ่นดินใหญ่”
สถิติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของฮ่องกงเพิ่มขึ้น 62% เป็น 9.26 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐและจีน
ขณะที่ในปี 2563 อาเซียนเป็นผู้ส่งออกสินค้าไปฮ่องกงรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากจีน มูลค่าการค้าระหว่างฮ่องกงและอาเซียนสูงถึง 4.648 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของฮ่องกง โดยระหว่างปี 2559-2563 มูลค่าการค้าระหว่างฮ่องกงและอาเซียนเติบโตปีละ 6%