นครเซี่ยงไฮ้ดึงนักลงทุนต่างชาติ หนุนจีดีพีโตสูงกว่า 9%
เซี่ยงไฮ้ ชวน นักลงทุนไทย ลงทุนในเขตอุตสาหกรรม”หลินกั่ง” ในเวทีสัมมนา”โอกาสทางการค้าและการลงทุน ณ นครเชี่ยงไฮ้ “หวังดันจีดีพีเพิ่ม จากปี 65 โต 9 % ด้าน”ไพจิตร”ชี้ถือเป็นโอกาสนักลงทุนไทย พัฒนาความร่วมมือ แนะรัฐบาลใหม่ เยือนจีน สานสัมพันธ์ต่อเนื่อง
สมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย จัดสัมมนา “โอกาสทางการค้าและการลงทุน ณ นครเชี่ยงไฮ้” โดยมีผู้แทนภาครัฐและเอกชนของไทยและจีนที่เข้าร่วมงานรวมราว 300 คน โดย นายกง เจิ้ง (Gong Zheng) นายกเทศมนตรีมหานครเซี่ยงไฮ้ ได้แนะนำยุทธศาสตร์การพัฒนานครเซี่ยงไฮ้ในงาน “ลงทุนเซี่ยงไฮ้ ร่วมแบ่งปันอนาคต” ซึ่งนายกเทศมนตรีฯ ยังเน้นย้ำถึงเสน่ห์และโอกาสในการพัฒนาของเซี่ยงไฮ้ พร้อมทั้งยังกล่าวเชิญชวนผู้ประกอบการทั่วโลกไปลงทุนที่เซี่ยงไฮ้ และจับมือกันสร้างอนาคตที่ดีขึ้น
ทั้งนี้มหานครเซี่ยงไฮ้มีเนื้อที่ 6,340 ตารางกิโลเมตร เป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจและการเงิน โลจิสติกส์ แฟชั่น และนวัตกรรม โดยในช่วงที่ผ่านมา เซี่ยงไฮ้ได้ให้ความสำคัญกับการใช้นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเข้าสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ หนึ่งในพื้นที่รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ได้แก่ “หลินกั่ง” ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเซี่ยงไฮ้ มีเนื้อที่ 873 ตารางกิโลเมตร ติดกับชายฝั่งทะเลด้านซีกตะวันออก
โดยหลินกั่งถูกกำหนดให้เป็น FTZ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสิทธิประโยชน์พิเศษส่งเสริมการลงทุนในหลายอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดสรรทรัพยากรทั่วโลกอย่างมีศักยภาพและดึงดูดบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงิน อาทิ HSBC และธนาคารกสิกรไทย นอกจากนี้ยังส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมผ่านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสมัยใหม่ในด้านยา ไบโอเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การบินพลเรือน EV อุปกรณ์ที่ทันสมัย วัสดุใหม่ และเซมิคอนดักเตอร์
ปัจจุบัน มีบริษัทที่เกี่ยวข้องมากกว่า 200 แห่ง ดึงดูดการลงทุน 220,000 ล้านหยวน มูลค่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 263,400 ล้านหยวน โดยในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ TESLA ที่ผลิตและส่งมอบแล้ว 760,000 คัน นอกจากนี้ยังมีการผลิตเครื่องบินพลเรือน C919 และการบริหารจัดการเดินเรือระหว่างประเทศ โดยมีบริษัทเดินเรือ 4 บริษัท บริษัทโลจิสติกส์ยักษ์ใหม่ 12 แห่งมาตั้งบริษัทสำนักงานใหญ่ในเซี่ยงไฮ้และใช้ท่าเรือหยางซานพัฒนาเป็นเขตปลอดภาษีเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับบริษัทต่างชาติเข้าจะเข้ามาลงทุนในการค้าออนไลน์ ปัจจุบัน หลินกั่งอยู่ระหว่างการพัฒนาศูนย์ Big Data ระดับสากลเพื่ออำนวยความสะดวกในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตัล
จากความพร้อมและการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน ทำให้พื้นที่หลินกั่งในปี 2022 มีมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมสมัยใหม่มากกว่า 40% และสามารถดึงดูดการลงทุนของต่างชาติในพื้นที่ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เติบโต 9% จาก 5.5% ของปีก่อน โดยเฉพาะ TESLA ตั้งแต่เริ่มตั้งสายพานการผลิต และการผลิตในขั้นตอนต่าง ๆ เป็นข้อพิสูจน์ว่านครเซี่ยงไฮ้มีการดำเนินการจนเป็นที่น่าพึงพอใจ นอกจากนี้ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ยังได้เข้าไปลงทุนในเซี่ยงไฮ้เมื่อกว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมาก็มีแผนจะขยายการลงทุนในเขตหลินกั่ง
นายธนากร เสรีบุรี นายกสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของจีน และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน ประกอบกับการที่นาย สี จิ้นผิง ประธานาธิบดี ได้ริเริ่มโครงการ Belt and Road Initiative มาตั้งแต่ปี 2556 นับแต่นั้น จีนกลายเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปี โดยในปี 2565 ปริมาณการค้าระหว่างไทยและจีนมีมูลค่าสูงถึง 135,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ จีนยังกลายเป็นประเทศที่มาลงทุนในมูลค่าสูงสุดของไทย อาทิ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิคส์ อาหาร เวชภัณฑ์ เครื่องจักรและอุปกรณ์เกี่ยวกับการขนส่ง ตลอดจนอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกทั้งการพัฒนาความร่วมมืออย่างลึกซึ้งภายใต้กรอบความร่วมมือ TCEP และแม่โขง-ล้านช้าง รวมไปถึงยุทธศาสตร์ 4.0 ของไทย และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก “อีอีซี” ตลอดจนความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องของการก่อสร้างทางรถไฟไทย-จีน
“เมื่อคิดถึงการลงทุนในประเทศจีน ต้องนึกถึงนครเซี่ยงไฮ้ก่อนเป็นลำดับแรก” ซึ่งมีหลายบริษัทที่เป็นสมาชิกสมาคมของเราได้เข้าไปลงทุนในนครเซี่ยงไฮ้แล้ว และประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ บริษัทชั้นนำของไทย อย่างเครือซีพี ขณะเดียวกัน รถยนต์เอ็มจี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง เอสเอไอซี มอเตอร์ จากนครเซี่ยงไฮ้ กับ เครือ ซีพี ของไทย เป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับในประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เรายิ่งมีความมั่นใจต่อการลงทุนใน นครเซี่ยงไฮ้
ปัจจุบันขณะนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเกือบ 900 บริษัท ได้มาตั้งสำนักงานใหญ่ในนครเซี่ยงไฮ้ และยังมีอีกกว่า 530 บริษัท เข้ามาตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านครเซี่ยงไฮ้ มีความน่าสนใจที่ต้องพิจารณาถึงเป็นพิเศษสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศนับตั้งแต่ดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศ จนทำให้จีนกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในฐานะเมืองที่ทันสมัยที่สุด จนมีฉายาว่า “นครเซี่ยงไฮ้ เมืองที่เปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมในทุก 3 ปี”
ในปี 2565 GDP ของนครเซี่ยงไฮ้สูงถึงกว่า 650,000 ล้านดอลลาร์ และมาตรฐานการดำรงชีพของชาวเซี่ยงไฮ้ก็พัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นเมืองที่มีกำลังซื้อสูงสุดในประเทศจีน
อนึ่ง งานสัมมนาในครั้งนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือระหว่างกันรวมทั้งสิ้น 6 ฉบับ รวม 14 ราย ประกอบด้วยบริษัทและองค์กร ซึ่งครอบคลุม 6 โครงการที่สำคัญ ได้แก่ 1. รถยนต์พลังงานใหม่ BGAC/ Neta 2. ด้านการเงิน Kasikorn Bank/ Lingang Shangha i3. ธุรกิจอัญมณีYong Tai Gems/ Donghao Lansheng Group 4. ด้านธุรกิจนำเข้า-ส่งออกผลไม้สดMr. Fruity/ Orient International (Holding) Co., Ltd. 5. ด้านการแพทย์ Rui Jin Hospital / Chinese Academy of Science Bangkok Cooperation Center/ Mahidol University 6. ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน Thai Chamber of Commerce in China/ Thai-Chinese Promotion of Investment and Trade Association/ Invest Shanghai
นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร อุปนายกและเลขาธิการสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย กล่าว่า เป็นการทำงานเชิงรุกของรัฐบาลเซี่ยงไฮ้ในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติเข้าในพื้นที่ด้วยสิทธิประโยชน์พิเศษในอุตสาหกรรมเป้าหมาย คล้ายกับอีอีซีของไทย เพื่อเป็นอีกเครื่องยนต์หนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายในปีนี้และอนาคต ขณะเดียวกันก็อาจสะท้อนว่า จีนซึ่งโดยสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรกดดันต่อเนื่อง พยายาม “ฝ่าวงล้อม” เพื่อเอาชนะความท้าทายดังกล่าว ซึ่งถือเป็นโอกาสชองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งพัฒนาความร่วมมือกับจีน เพราะภายหลังวิกฤติโควิด จีนถูกกดดันมากขึ้น จึงหันมาให้ความสำคัญกับเอเชีย ซึ่งไทยมีความโดดเด่นในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับรัฐบาลใหม่ของไทย นั้น ผู้นำรัฐบาลใหม่ควรเยือนจีนเป็นประเทศแรกๆ หลังเริ่มเยือนประเทศในอาเซียน ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อความร่วมมือในหลายด้าน ในจีน “การเมืองนำเศรษฐกิจ” ถ้าเรามีความสัมพันธ์ที่ดี และแสดงจุดยืนที่ถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งการสานต่อยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน ซึ่งนโนยายของภาครัฐ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย-จีน
“ปีนี้เป็นจังหวะที่ดีของไทยในการเสริมสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจกับจีน เพราะเราจะเป็น “เพื่อนยามยาก” ที่จีนเห็นคุณค่าหากปล่อยผ่านไป เมื่อแรงกดดันจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศคลายตัว ทุกประเทศก็จะวิ่งกลับเข้าหาจีนอีกครั้ง เราก็จะกลายเป็นตัวเลือกท้ายๆ อีกครั้ง”นายไพจิตร กล่าว