ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า ‘อินเดีย’ อื้อ ดันหุ้นขึ้น-บอนด์พุ่ง รูปีเพอร์ฟอร์มแกร่ง
ข้อมูลเผย ฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้าอินเดียอื้อ ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนชะลอตัว พบ หุ้นขึ้น บอนด์พุ่ง ค่าเงินรูปีเคลื่อนไหวดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย กูรูย้ำ คงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตอินเดีย
Key Points
- เศรษฐกิจอินเดียเติบโตดี ท่ามกลางการพบกันของนเรนทรา โมดีและอีลอน มัสก์
- แบงก์ออฟอเมริกา เผย ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. ถึงปัจจุบัน ฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศไหลเข้าอินเดียอื้อ
- ตลาดหุ้นและบอนด์อินเดียเอาท์เพอร์ฟอร์มตลาดในภูมิภาค ขณะที่รูปีเคลื่อนไหวในระดับที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย
- กูรูยังคงมุมมองเชิงบวกต่อออินเดีย แต่ต้องระวังความล่าช้าของมรสุมฝนในประเทศ เพราะอาจทำให้การบริโภคในประเทศชะงัก
ช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและเป็นแต้มต่อสำหรับการเยือนสหรัฐอเมริกาของ นเรนทรา โมดี (Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีอินเดีย เพราะทั้งสภาพเศรษฐกิจที่คึกคัก หุ้นปรับตัวขึ้นสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดล้วนเป็นเหมือน “คำโฆษณา” ที่โมดีไม่ต้องเอ่ยคำพูดสักคำ ขณะนำเสนอศักยภาพของอินเดียต่อ บรรดาผู้บริหารองค์กรและนักลงทุนชาวอเมริกัน
หากอ้างอิงตามข้อมูลของแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) หรือ BofA ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. ถึงปัจจุบัน ฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศไหลเข้าอินเดียสุทธิ 8.7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.87 แสนล้านบาท) ซึ่งดีที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2563
นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนจากต่างประเทศยังเข้าซื้อพันธบัตรในสกุลเงินรูปีอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในรอบ 4 เดือน รวมทั้งสกุลเงินรูปียังเป็นสกุลเงินที่เคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียในปีนี้
โดยสิ่งที่โมดีให้คำมั่นไว้ในการเยือนสหรัฐครั้งนี้คือ ตามถ้อยแถลงของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเทสล่าที่ระบุว่า บริษัท เทสล่า จำกัด (มหาชน) หรือ TESLA จะทุ่มเงินลงทุนในอินเดียจำนวนมหาศาล รวมทั้งยังกระตุ้นให้ เรย์ ดาลิโอ (Ray Dalio) ผู้ร่วมก่อตั้ง สมาคมบริดจ์วอเตอร์ (Bridgewater Associates) เพิ่มการลงทุนในบริษัท เจเนอรัล อิเล็กทริก (General Electric) และ ฮินดูสถาน แอร์โรนอติคส์ (Hindustan Aeronautics) ซึ่งผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินขับไล่สัญชาติอินเดีย
สมิรัน จักรพันธุ์ (Samiran Chakraborty) และบาคาร์ ไซดิ (Baqar Zaidi) นักเศรษฐศาสตร์จาก ซิตี้ กรุ๊ป ระบุว่า “บรรดานักลงทุนต่างเห็นพ้องว่าอินเดียผ่านช่วง Goldilock หรือช่วงที่เศรษฐกิจไม่ได้ไปในทางใดทางหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือไม่ได้ร้อนแรงเกินไป หรือก็ไม่ได้ชะลอตัวจนเสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ประเมินว่า ฟันด์โฟลว์ต่างชาติรวมทั้งรายได้จากภาคค้าปลีกปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงจากโควิด-19 (Covid 19) ผลักดันให้ ดัชนีเอ็นเอสอี นิฟตี 50 (NSE Nifty 50 Index) ของอินเดียทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 9% ในไตรมาสปัจจุบัน
ในขณะที่ปรากฏการณ์ข้างต้นส่งผลให้มูลค่าหุ้นปรับตัวสูงขึ้นขึ้นเมื่อเทียบกับราคาในอดีตและเพิ่ม “แต้มต่อ” ที่แต่เดิมอินเดียก็ควบคุมเหนือประเทศอื่นในตลาดเกิดใหม่ด้วยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เสน่ห์ของการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ที่มั่นคง เสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายการเงินที่กระตุ้นให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น
คุณลักษณะเหล่านั้นทำให้ประเทศที่มีประชากรมากถึง 1.4 พันล้านคนโดดเด่นขึ้นมา ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมทั้งคุณลักษณะเหล่านั้นยังไป “บดบัง” ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนที่เศรษฐกิจชะลอตัวและมีความขัดแย้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์และทางการค้ากับสหรัฐ
โดยนักเศรษฐศาสตร์จากซิตี้ กรุ๊ป ระบุว่า นักลงทุนค่อนข้างเต็มใจที่จะคงสถานะการลงทุนระยะยาวในอินเดีย แม้ว่าจะมีการประเมินมูลค่า (Valuation) ที่สูงก็ “ตอนนี้ทางซิตี้ยังไม่มีความกังวลใดๆ เกี่ยวกับฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้าอินเดียอย่างร้อนแรงในขณะนี้”
อย่างไรก็ดี ความล่าช้าของมรสุม (Monsoon Rains) อาจเข้ามากระทบอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของอินเดีย รวมทั้งยังอาจกดดันการเติบโตของภาคการบริโภคภายในประเทศด้วย ประกอบกับ การดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน ซึ่งการประเมินมูลค่าตราสารทุนมีราคาถูกเกินกว่าที่นักบริหารเงินบางคนจะละเลย อาจส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากเป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์หลักจากการไหลออกของฟันด์โฟลว์จากจีน
บอนด์-รูปี
ปัจจุบันนักลงทุนแห่เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอินเดียเนื่องจากมีแนวโน้มว่าธนาคารกลางอินเดีย (RBI) จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปี 2567 โดยเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศกระจุกตัวอยู่ในพันธบัตรรัฐบาลที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการรวมดัชนี (Index Inclusion) ในการตรวจประเมินครั้งหน้าในปลายปีนี้ของเจพีมอร์แกน (JPMorgan Chase)
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปีย่อตัวลงประมาณ 0.4% จากระดับสูงสุดในเดือน มี.ค.โดยได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายอัตราเงินเฟ้อและการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายชั่วคราวในเดือน เม.ย. อย่างที่กล่าวไป
ด้านนาคราช กุลการี (Nagaraj Kulkarni) และกลุ่มนักกลยุทธ์จากสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ (Standard Chartered) ระบุในรายงานว่า “ในแต่ละปี ตลาดอินเดียได้รับอุปทานอย่างราบรื่นจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับปานกลาง และการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถึงจุดสูงสุดในอนาคตอันใกล้” พร้อมเสริมว่า “ยังคงมองการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในเชิงบวก”
ทั้งนี้ มีเพียงปี 2566 เท่านั้นที่ค่าเงินรูปีของอินเดียเคลื่อนไหวตามหลังค่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย โดยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของอินเดียที่ลดลงอย่างรวดเร็วจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น นับเป็นแรงหนุนสำคัญของเงินรูปี
นอกจากนี้ พันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ที่ออกโดยบริษัทอินเดียก็เพอร์ฟอร์มดีกว่าพันธบัตรอื่นในภูมิภาคเช่นกัน รวมทั้งสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฯ ประกอบกับอัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์ใกล้ถึงจุดต่ำที่สุดในรอบทศวรรษ ล้วนทำให้ “หุ้นกู้เอกชนอินเดีย” น่าสนใจมากขึ้น
ขณะที่ทางการขายพันธบัตรเสี่ยงสูง (Junk Bonds) ให้นักลงทุนไปแล้ว 5.3% ในไตรมาสนี้ ขณะที่พันธบัตรที่ในลักษณะดังกล่าวของจีนให้ผลตอบแทนแบบขาดทุนทั้งหมด 9.1%
“เห็นได้ชัดว่าแนวโน้มการเติบโตที่ดีของอินเดีย จำนวนประชาชนหนุ่มสาวที่เยอะ และแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นต่อ กลยุทธ์จีน +1 (China+1 Strategy) ช่วยดึงดูดการลงทุนโดยรวมในประเทศค่อนข้างมาก” มิทูล โคเตชา (Mitul Kotecha) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดเกิดใหม่ที่ ทีดี เซคเคียวริตี (TD Securities) ระบุ พร้อมประเมินว่า ปริมาณการซื้อพันธบัตรจากต่างชาติจะอยู่ในระดับคงตัวมากขึ้นในครึ่งปีหลัง
อ้างอิง