'ดิษทัต' พลิกแผนธุรกิจ OR ติดปีกสู่การเติบโตยั่งยืน
“ดิษทัต ปันยารชุน” ติดปีกให้ OR ทะยานสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยทิศทางและวิถีการดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นสานต่อและผลักดันวิสัยทัศน์ Empowering All toward Inclusive Growth ทุกธุรกิจของ OR
รายการ SUITS Sustainability เปลี่ยนโลกธุรกิจ ของ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ สัมภาษณ์พิเศษ "ดิษทัต ปันยารชุน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ตอบโจทย์วิถีชีวิตแห่งอนาคต ด้วยการเน้นการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบทั้งผู้คน สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม
ดิษทัต กล่าวว่า จากการเป็นคนที่หาโอกาสในการทำธุรกิจซื้อขายน้ำมันมานาน บวกกับบุคลิกมีความมั่นใจสูงในการทำธุรกิจจึงมั่นใจว่าจะนำพา OR ไปถึงสิ่งที่ OR อาจไม่เชี่ยวชาญ จึงต้องเข้ามาเติมเต็มบางธุรกิจที่ OR ขาดหายไป โดยเฉพาะธุรกิจต่างประเทศหรือธุรกิจที่ทำการซื้อขาย เพราะในการจัดซื้อบางอย่างจะต้องเปลี่ยนดีมานด์ให้มีมูลค่า
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าโอกาสอยู่ใน Value Chain ของ OR ดังนั้น จะต้องเทิร์น Value Chain ที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้มีโอกาสในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการลดต้นทุนที่มีหลากหลายแบรนด์และไปหลาย secto โดยใช้แนวทางการบริหารธุรกิจจากประสบการณ์เพื่อให้พนักงานรู้จักตัวตนผ่าน RISE หรือ การติดปีกโออาร์ แบ่งเป็น
R : Result คือ การมุ่งมั่นให้เกิดผลลัพธ์จับต้องได้
I : Intelligence เชื่อในข้อมูลพื้นฐานเพื่อวิเคราะห์ตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
S : Synergy เชื่อเสมอว่าการมีสิ่งนี้จะเป็นพลังให้สำเร็จ ร่วมกันทำ ร่วมกันเติบโต
E : Entrepreneurship คือ Mindset ที่ทำอะไรจะต้องมีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ เมื่อก้าวสู่ธุรกิจค้าปลีกมากขึ้นต่างจากเดิมเป็นเพียงผู้ขายพลังงาน โดยปัจจุบันต้องปรับตัวเป็นผู้ให้บริการด้วย ซึ่งเป็นผลจากการดิสรัปชั่น อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จึงต้องคิดล่วงหน้า 10 ปี โดยปรับพอร์ตธุรกิจที่ให้ความสำคัญอาหารและเครื่องดื่มทำให้อีโคซิสเต็มน่าสนใจขึ้น
“หากเปรียบสถานีบริการน้ำมันของเราที่ยังให้บริการแค่ขายน้ำมันก็ไม่น่าสนใจ ดังนั้น การเพิ่มแบรนด์ บริการและพันธมิตรเข้ามาในอีโคซิสเต็มของเราจะน่าสนใจขึ้น”
สำหรับพันธกิจของ OR มี 4 พันธกิจ คือ
1.Mobility จะไม่ใช่แค่สถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น เพราะ OR ขายน้ำมันเครื่อง ธุรกิจเกี่ยวกับขายอุตสาหกรรม อาทิ น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเดินเรือระหว่างประเทศ เติมเต็มความความหลากหลายผ่านอีโคซิสเต็มขนาดใหญ่
“OR ตั้งเป้าหมายขยายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า 7,000 หัวจ่าย อีกทั้งมีศูนย์บริการ FIT Auto ที่พร้อมให้บริการทั้งรถเครื่องยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น ไม่ว่าพลังงานจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร OR จะเป็นผู้นำในทุกเรื่องของพลังงาน”
2.Lifestyles โดย OR ให้ทันการเปลี่ยนแปลง โดยถ้าขายน้ำมันอย่างเดียวอาจมีกำไรลดลงจึงต้องดูอนาคต 10-15 ปี และเมื่อรถยนต์ไฟฟ้ามาก็ต้องเตรียมพร้อม อีกทั้งการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มในสถานีบริการอย่างเดียวไม่พอจึงปรับเพิ่มธุรกิจใหม่ เช่น สุขภาพและความงาม
3.Global Market โดย OR ดําเนินธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการในต่างประเทศ ซึ่งการทำธุรกิจในต่างประเทศไม่ง่ายจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยสร้างองค์ความรู้ผ่านทีมงานรุ่นพี่ที่ไปต่างประเทศมาเล่าประสบการณ์ให้รุ่นน้องฟัง
“กัมพูชาเป็นประเทศที่เติบโตน่าลงทุน มีที่ตั้งใกล้ไทย ติดทะเล อีกทั้งด้วยระบบกลุ่ม ปตท.ราว 2 ปี จะมีระบบที่พร้อมด้านพลังงาน เพราะกำลังการกลั่นของไทยเริ่มล้นแล้ว ดังนั้น จะไม่สามารถรองรับดีมานด์ทั้งหมดในประเทศไทยได้จึงมองการขยายธุรกิจในกัมพูชา”
4.OR Innovation ซึ่ง OR ต้องพร้อมปรับตัวจากการให้บริการออฟไลน์สู่ออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่ง OR ต้องการให้ประชาชนและผู้บริโภคอยู่ใกล้ตัวผ่านแอพพลิเคชั่นที่รวมบริการหลากหลายในกลุ่มบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ผ่านแอพพลิเคชั่น xploRE ที่จะเปิดตัวเดือน ส.ค.2566 และจะเป็นซุปเปอร์แอพที่ตอบโจทย์ความต้องการไลฟ์สไตล์ใหม่ โดยจะเป็นช่องทางให้กลุ่ม ปตท. โดยเป้าหมายที่ ปตท. มอบหมายให้ OR เป็นรีเทลและใกล้ชิดกับประชาชน จึงต้องทำหน้าที่ตรงนั้น
นายดิษทัต กล่าวว่า OR มีความชัดเจนเพื่อเป้าหมายสู่การสร้างอนาคตที่ยั่งยืนปี 2030 ผ่าน SDG โดย S : SMALL โอกาสเพื่อคนตัวเล็กผ่านการดำเนินธุรกิจควบคู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและชุมชน อาทิ โครงการพื้นที่ปันสุขและตลาดเติมสุขที่ให้โอกาสเกษตรกรขายของในพื้นที่ของ OR รวมทั้งฝึกอบรมและพัฒนาทักษะการทำงานให้ผู้พิการทางการได้ยินและผู้พิการทางการเรียนรู้
รวมทั้งให้โอกาสผู้พิการได้มีรายได้ผ่านคาเฟ่ อเมซอน รวมถึงให้โอกาสผู้สูงอายุเป็นบาริสต้าของร้านช่วยสร้างงาน ส่งเสริมคุณภาพชีวิต สร้างความเท่าเทียม ในการดำรงชีวิตให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส เพราะสังคมไทยกำลังก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ
D : DIVERSIFIED โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบผ่านศักยภาพของ OR ที่จะเป็น Platform ในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม โดยหาพันธมิตรใหม่จากที่ผ่านมาเป็นพันธมิตรกับบุญรอด เปิดตัวกาแฟพร้อมดื่ม คาเฟ่ อเมซอน-ฮารุ โคลด์บรูว์ กรีนที ถือเป็นการพัฒนาจากร้านค้าทั่วไปเป็นกาเฟพร้อมดื่ม ซึ่งทำระบบนิเวศธุรกิจสมบูรณ์
G : GREEN โอกาสเพื่อสังคมสะอาด Low Carbon Business Areas ผ่านธุรกิจสีเขียวเพื่อสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 ตลอดจนมุ่งสู่การบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมทั้งจะเปิดพีทีที สเตชั่น สีเขียวที่ถนนวิภาวดีรังสิต 62 เป็นสถานีบริการน้ำมันสีเขียว เช่น การใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟ มีระบบกักเก็บพลังงานเพื่อใช้ 24 ชม.
“คาเฟ่ อเมซอนจะใช้วัสดุรีไซเคิล อาทิ เสื้อผ้าบาริสต้ามาจากขวดพาสติกหรือแก้วที่ใช้แล้วมาขึ้นรูปใหม่ นำผลิตภัณฑ์ที่อยู่รอบตัวมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมและประชาชนในพื้นที่”
ทั้งนี้ การจะไปถึงเป้าหมายจะดำเนินการผ่าน 3P คือ People คือยกระดับคุณภาพชีวิตทุกที่ที่ไปทำธุรกิจ , Performance คือ นอกจากการหารายได้ต้องยกระดับคนในชุมชนด้วย และ Planet คือ การทำธุรกิจที่ต้องดูแลสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ OR มีแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเติบโตผ่านระบบดิจิทัล โดยเทคโนโลยีจะช่วยค้าขายและเข้าถึงประชาชน และเป็นแพลตฟอร์มที่ให้โอกาสคนตัวเล็ก วิสาหกิจชุมชนและชมชุนเข้าถึงตลาดมากขึ้น
“เวลาทำงานก็เต็มที่ นอกเวลางานเมื่อต้องจัดงานเลี้ยงกับพนักงานก็เต็มที่เช่นกัน ผมเป็นคนสนุกสนานกับเพื่อนพี่น้อง ส่วนวันหยุดจะเล่นกีฬาที่ชอบ โดยเฉพาะการตีกอล์ฟถือเป็นไลฟ์สไตล์ง่าย ๆ ที่คิดเสมอว่าจะบาลานซ์ชีวิตอย่างไรให้ OR มีความยั่งยืนไปพร้อมกัน ถือว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากผู้บริหารคนอื่น”