นายกฯ เปิดเวทีรับมือโลกร้อน ชี้เป็นโอกาสภาคธุรกิจปรับตัวสู่ความยั่งยืน
นายกฯ เปิดเวทีประชุมภาคีรับมือโลกร้อน ชี้เป็นโอกาสปรับตัวของไทยและภาคธุรกิจขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ย้ำเป้าหมายแรก ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 2 (TCAC2) โดยระบุว่า ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญเร่งด่วนของโลก ทำให้ประเทศไทยมีการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาอย่างต่อเนื่อง และยกระดับการดำเนินงานอย่างเข้มข้นมาทุกระยะ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ หากปราศจากความร่วมมือจากทุกคนในสังคม
"ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นทุกภาคส่วนมาร่วมงานในวันนี้ หวังว่าการประชุมในวันนี้จะเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยน ความคิด เสริมสร้างความร่วมมือ และดำเนินงานร่วมกัน เพราะเชื่อว่าถ้าเราร่วมมือกัน เราสามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้"
ทั้งนี้ หลายคนมองว่าการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องยากและเป็นภาระ ที่จริงผมมองว่ามันเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยและภาคธุรกิจที่จะขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน ผ่านการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ในภาคการผลิตและบริการ ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นได้ว่าองค์กรชั้นนำส่วนใหญ่มีการส่งเสริมการใช้มาตรการเพื่อความยั่งยืนด้วยแล้ว
นอกจากนี้ ด้วยความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยจึงได้จัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ควบคู่ไปกับการผลักดันพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ เพื่อกำกับดูแลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามเป้าหมายของประเทศที่ได้ประกาศไว้ ทั้งมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065
ด้านพลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก และผลกระทบ ที่เกิดขึ้น ทั้งในลักษณะของการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพ และอาชีพของประชาชน ความมั่นคงของมนุษย์ ตลอดจนความสูญเสียและ ความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคม
ทำให้วันนี้ต้องเกิดความร่วมมือรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวผ่านการดำเนินงาน ตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ในฐานะรัฐภาคีกรอบ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พิธีสารเกียวโต และความตกลงปารีส ที่มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการลดก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก
ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่าย จึงได้จัดการประชุม ภาคีการ ขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 2 หรือ TCAC 2023 เพื่อเป้าหมายดำเนินงาน ประกอบด้วย
1. เป็นเวทีสร้างพลังขับเคลื่อน การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ในทุกระดับและทุกภาคส่วน ในการมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ.2065 และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่ได้แสดงเจตจำนงไว้ ต่อประชาคมโลก
2. เผยแพร่ความก้าวหน้า การดำเนินงานในระดับโลก ผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ การถ่ายทอดเป้าหมายระดับโลก มาสู่ทิศทางการดำเนินงานในประเทศไทย โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อให้รู้เท่าทันสถานการณ์ และร่วมกันสร้างความพร้อมในการนำไปสู่การปฏิบัติในทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ การหารือภายใน TCAC 2023 จะเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญของประเทศไทย ที่จะมีการนำเสนอ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความคาดหวัง เพื่อนำไปสู่การ ดำเนินงานที่ชัดเจน สามารถจับต้องได้ โดยผลการหารือครั้งนี้ จะนำไปรายงานในช่วงสมัยประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาฯ สมัยที่ 28 (COP28) ซึ่งมีกำหนด จัดในระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 12 ธันวาคม 2566 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะผลักดันประเด็นการ เปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy transition) และการยกระดับเศรษฐกิจไปสู่การค้าการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate’s capital)