‘กฤษฎีกา’ ชี้ ‘คลัง’ ยังส่งเรื่องไม่ถึงมือ กม.กู้เงินแจกดิจิทัลฯจ่อล่าช้า!
เลขาธิการกฤษฎีกาเผยคลังยังส่งเรื่องสอบถามข้อกฎหมายกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ไม่ถึงหน่วยงาน ระบุขั้นตอนยังไม่ถึงออกพ.ร.บ.แค่รอตอบข้อสังสัยทางกฎหมาย กางข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาหลายฉบับ
นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงการจัดทำกฎหมายกู้เงิน พ.ร.บ. 5 แสนล้านบาทเพื่อใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเป้าหมาย 50 ล้านคน ว่าขณะนี้กฤษฎีกายังไม่ได้รับเอกสารจากกระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการ ของคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งตนได้สอบถามไปยังนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังแล้วเกี่ยวกับกับการดำเนินการ โดยกระทรวงการคลังบอกว่าอยู่ในระหว่างรวบรวมประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ที่ต้องการถามคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อส่งมาตามขั้นตอน
ทั้งนี้ปัจจุบันขั้นตอนของการออกกฎหมายกู้เงินของรัฐบาลนั้นยังไม่ได้เรียกว่าเป็นการจัดทำร่าง พ.ร.บ.เนื่องจากมติของที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่นั้นมอบหมายให้กฤษฎีกาไปดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อกฤษฎีกาดูความเห็นข้อกฎหมายและตอบคำถามจากรัฐบาลที่ส่งมาเกี่ยวกับการออกกฎหมายครบถ้วนชัดเจนแล้วจะนำเข้าสู่ที่ประชุม คณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่อีกครั้งที่ประชุมจึงจะมีมติว่าสามารถเดินหน้าในการทำข้อกฎหมายเพื่อออกเป็น พ.ร.บ.เงินกู้ได้หรือไม่
“อยากให้เข้าใจว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีการเสนอมาเป็นร่างกฎหมาย แต่จะส่งเป็นคำถามมาก่อนว่าถ้าครบเงื่อนไขทำได้หรือเปล่าเท่านั้น และตอนนี้ก็ยังรออยู่ และก็ได้รับการยืนยันจากรมช.จุลพันธ์ว่า กำลังดูอยู่ และคงต้องสอบถามไปที่กระทรวงการคลัง” เลขาฯกฤษฎีกา กล่าว
ส่วนข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่กฤษฎีกาจะไปดูได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2560 ที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินแผ่นดิน พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ 2548 กฎหมายเงินคงคลัง เป็นต้น รวมทั้งต้องดูอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีด้วย โดยเรื่องนี้ต้องดูตามข้อกฎหมายอย่างรอบคอบว่าทำได้หรือไม่ หากทำไม่ได้ก็บอกทำไม่ได้ เรื่องนี้ได้มีความซับซ้อนอะไร
สำหรับคำถามที่ว่ารัฐบาลจะขอคำแนะนำจากกฤษฎีกาว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถออกกฎหมายในเรื่องนี้ได้ เลขาธิการฯกฤษฎีกาบอกว่าเรื่องนี้ตนเองไม่ทราบ เพราะว่าหน้าที่ในการหาวิธีการในการบริหารและออกนโยบายนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาล รวมทั้งเรื่องของการวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องวิกฤติหรือไม่นั้นก็คงไม่สามารถมาถามจากกฤษฎีกาได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล และครม.ที่ต้องหาข้อมูลมาอธิบายในส่วนนี้
เมื่อถามว่ากรณีที่มีผู้ไปร้องเรียนกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินว่าการกู้เงินของรัฐบาลในครั้งนี้จะผิดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 มาตรา 53 หรือไม่ เลขาธิการกฤษฎีกาบอกว่าน่าจะเป็นการร้องเรียนที่เกินกว่าการทำงานของรัฐบาลไปเนื่องจากในขณะนี้ยังไม่ได้มีการทำร่างกฎหมายในการกู้เงินของรัฐบาลเลยยังอยู่ที่ระหว่างการตรวจสอบข้อกฎหมายต่างๆของรัฐบาล