ท่องเที่ยวฟื้น ยอดใช้ไฟธุรกิจโรงแรมพุ่ง สวนทางภาคอุตสาหกรรม
"พลังงาน" ระบุท่องเที่ยวฟื้น ธุรกิจโรงแรมใช้มียอดการใช้ไฟฟ้า 9 เดือนเพิ่มขึ้น สวนทางกลุ่มอุตสาหกรรมคาดการณ์ใช้พลังงานขั้นต้นทั้งปี 66 อยู่ที่ 1.3% ส่วนยอดใช้ 9 เดือนของปี 2566 ยอดใช้พลังงานขั้นต้นเพิ่ม 2.2% จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยช่วง 9 เดือนของปี 2566 รวมทั้งสิ้น 153,932 กิกะวัตต์ชั่วโมงเพิ่มขึ้น 2.6% โดยการใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 42% อยู่ในภาคอุตสาหกรรม มีการใช้ลดลง 3.3% โดยเป็นการลดลงสำหรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ โดยอุตสาหกรรมเหล็กและโลหะพื้นฐานลดลงสูงสุดที่ 10.0%
ส่วนการใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนที่มีสัดส่วน 29% มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 6.2% และการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจมีสัดส่วน 24% มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 8.4% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจโรงแรม อพาร์ทเมนท์และเกสเฮาส์
ทั้งนี้ ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดของระบบ 3 การไฟฟ้าของปี 2566 (ในรอบ 9 เดือนของปี 2566) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2566 เวลา 21.41 น. อยู่ที่ระดับ 34,827 เมกะวัตต์ ถือว่าเพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเทียบกับค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้าของช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565
ทั้งนี้ จากรายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ขยายตัว 1.5% ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 2 เนื่องจากการส่งออกสินค้าที่ลดลง และการใช้จ่ายของภาครัฐบาลลดลง เป็นผลมาจากการลดลงค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขหลังการฟื้นตัวของโรคโควิด-19
ขณะที่การบริการขยายตัวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการอุปโภคบริโภคครัวเรือนขยายตัวต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนเร่งขึ้น ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.9% ส่งผลให้สถานการณ์พลังงานในช่วง 9 เดือนของปี 2566 (ม.ค.– ก.ย. 2566) พบว่า การใช้พลังงานขั้นต้นอยู่ที่ 2,039 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.2%
ทั้งนี้ เป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ก๊าซธรรมชาติและ LNG ที่ 9.4% รองลงมาคือ การใช้น้ำมันที่ 2.0% ซึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่การใช้ลิกไนต์ลดลง 9.8% การใช้ถ่านหินลดลง 10.3% และการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้าลดลงที่ 11.7% ซึ่งสถานการณ์พลังงานรายเชื้อเพลิงในช่วง 9 เดือนของปี 2566 สรุปได้ดังนี้
การใช้น้ำมันสำเร็จรูป อยู่ที่ระดับ 139 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.3% โดยการใช้น้ำมันเบนซินอยู่ที่ระดับ 30 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 4.9% อย่างไรก็ตาม จากการที่น้ำมันกลุ่มเบนซินมีราคาสูงทำให้มีการใช้สัดส่วนการใช้แก๊สโซฮอล95 สูงสุดที่ 76% เมื่อเทียบกับแก๊สโซฮอล91 และเบนซิน95 ที่ 22% และ 2 ตามลำดับ
การใช้น้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 62 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงที่ 4.5% ผลจากราคาน้ำมันที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า อีกทั้งการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวทำให้การใช้น้ำมันในภาคขนส่งมีความต้องการลดลงไปด้วย
การใช้น้ำมันเครื่องบิน อยู่ที่ระดับ 13.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 65.1% เป็นผลมาจากจากสถานการณ์การเดินทางภายในและระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น
น้ำมันเตา อยู่ที่ระดับ 5.7 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง 11.4% โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG โพรเพน และบิวเทน) อยู่ที่ระดับ 18.5 พันตันต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.4% โดยการใช้ LPG เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีสัดส่วนการใช้สูงสุดคิดเป็น 45% มีการใช้ลดลง 2.2%
รองลงมาภาคครัวเรือนซึ่งมีสัดส่วนการใช้คิดเป็น 31% มีการใช้ลดลง 0.8% ภาคขนส่งมีสัดส่วน 13% มีการใช้เพิ่มขึ้น 3.7% ภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วน 10% มีการใช้เพิ่มขึ้น 0.9% ในขณะที่การใช้เอง ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 1 มีการใช้เพิ่มขึ้น 95.4%
ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซโซลีนธรรมชาติ (NGL) อยู่ที่ระดับ 4,478 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเพิ่มขึ้น 5.5% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ผลิตไฟฟ้า 11.1% ในขณะที่การใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ลดลงร้อยละ 1.9 การใช้ในภาคอุตสาหกรรมลดลง 4.4% และใช้ในโรงแยกก๊าซฯ ลดลง 1.4%
ถ่านหิน/ลิกไนต์ อยู่ที่ระดับ 11,482 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลง 10.2% โดยการใช้ถ่านหิน ลดลง 10.3% จากการใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าและการใช้ในภาคอุตสาหกรรมลดลง 9.3% และ 11.0% ตามลำดับ สอดคล้องกับการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศที่ลดลง 7.5% ส่วนการใช้ลิกไนต์ลดลง 9.8% ทั้งนี้ 99% ของการใช้ลิกไนต์เป็นการใช้ในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่วนที่เหลือ 1% นำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ความว่าความต้องการพลังงานขั้นต้น ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 2,022 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับปี 2565 จากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ จากความต้องการการเดินทางที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นปกติมากขึ้นทั้งการเดินทางภายในประเทศและการเดินทางระหว่างประเทศ การขยายตัวของการลงทุนทั้งการลงทุนภาคเอกชน
ส่วนการใช้น้ำมัน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8% โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเครื่องบินจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศและในขณะที่การใช้ก๊าซธรรมชาติ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 9.0% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในภาคการผลิตไฟฟ้า สำหรับการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ คาดว่าจะลดลง 11.6% จากการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะลดลง 12.5% เนื่องจากลดลงของการนำเข้าไฟฟ้าจาก สปป.ลาว