‘สภาพัฒน์‘ จับตา ’เศรษฐกิจจีน‘ ห่วงปัจจัยเสี่ยงกระทบ ’เศรษฐกิจไทย‘
"สภาพัฒน์"เตือนเศรษฐกิจโลก ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจปี 67 หลังเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้น ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์เพิ่ม แนะไทยเร่งทำตลาดใหม่ ดึงท่องเที่ยว-การค้า มองเศรษฐกิจในประเทศยังไปได้ ขยายตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐฟื้นตัว-การบริโภคยังโตต่อเนื่อง
เศรษฐกิจไทยปี 2567 กำลังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่อเนื่องจากปี 2566 ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศสำคัญชะลอตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวต่ำกว่าหลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
ที่ผ่านมาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจีนอย่างใกล้ชิด โดยมีการประเมินว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2566 จะขยายตัว 3.0% ในขณะที่การส่งออกของจีนติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2566
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช.เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 สศช.คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 2.7-3.7% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 3.2%
ทั้งนี้เศรษฐกิจในประเทศจะยังขยายตัวได้จากปัจจัยบวกจากการใช้จ่ายภาครัฐที่กลับมาขยายตัวหลังจากที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 และปี 2568 มีผลบังคับใช้ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การบริโภคในประเทศก็จะยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2566
ขณะที่การใช้จ่ายและท่องเที่ยวของประชาชนที่ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นส่งผลดีต่อภาคบริการ เพราะมีการเดินทาง และท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจในปี 2567 มีปัญหาเศรษฐกิจที่น่ากังวลจะมาจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ เนื่องจากในปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีความเปราะบาง และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ซบเซา และยังมีความตึงเครียดจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค
ทั้งนี้ สศช.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะขยายตัว 2.7% ชะลอลงจาก 2.8% ในปี 2566 ส่วนปริมาณการค้าโลกในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัว 3.2% ฟื้นตัวจาก 2.1% ในปี 2566
นอกากนี้ ปัจจุบันยังมีสัญญาณที่เศรษฐกิจโลกในปี 2567 จะชะลอตัวลง โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างประเทศจีน โดยแนวโน้มเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมายังชะลอตัวมากกว่าที่คาด จากปัญหาหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการชะลอตัวลงของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศจีนจนกระทั้งสร้างความเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืด
สำหรับประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามว่ารัฐบาลจีนนั้นมีจะมาตรการที่จะออกมาอย่างไร หรือจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ ทั้งนี้ สศช.คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 4.3% ในปี 2567 ชะลอลงจากที่จะขยายตัวได้ประมาณ 4.9% ในปี 2566
“ตอนนี้ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ได้จากทางจีนค่อนข้างที่จะเข้าถึงยากขึ้น เช่นข้อมูลการว่างงานของนักศึกษาจบใหม่ก็ยังไม่มีการรายงานออกมา"
รวมทั้งในปัจจุบันพบว่าข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาก็ยังเป็นข้อมูลในภาพใหญ่ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ
"ปัจจุบันจะต้องรอดูด้วยว่ามาตรการของจีนในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาและกำลังจะออกมาก็มีมาตรการอีกมาก ซึ่งในเรื่องนี้ สศช.ก็มีการติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบกับเศรษฐกิจในระยะถัดไปด้วย”
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจีนนั้นยังเป็นที่พึ่งที่หวัง และสินค้าส่งออกของไทยไปยังจีนก็ยังสามารถที่จะทำตลาดได้ค่อนข้างมาก ซึ่งตลาดของจีนนั้นมีกำลังซื้อที่สูงจากจำนวนประชากรมากกว่า 1 พันล้านคน ซึ่งแม้ว่าในภาพใหญ่เศรษฐกิจจีนไม่ดีแต่คนที่มีกำลังซื้อก็ยังมีอยู่มาก ซึ่งก็ทำให้การส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังจีนยังน่าสนใจ
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยในช่วง 11 เดือน แรกของปี 2566 พบว่า การส่งออกสินค้าไปจีนมีมูลค่าติดลบ 1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปี 2565
สำหรับปัญหาของภูมิรัฐศาสตร์ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ยังต้องจับตามองแม้ว่าการรบในอิสราเอลในขณะนี้ยังไม่มีท่าทีที่จะรุนแรงเป็นสงครามในระดับภูมิภาค ซึ่งหากสงครามไม่ขยายวงก็จะกระทบกับราคาน้ำมันไม่มากนัก
อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันที่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น แม้จะมีภาวะสงครามในบ้างพื้นที่ รวมทั้งมีการลดกำลังการผลิตจากประเทศในกลุ่มสมาชิกโอเปกก็ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของโลกในปีหน้าที่อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คิด
“หากดูทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกตอนนี้มีการปรับตัวลดลงมาจากระดับ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเวลาที่ไม่นานนัก เช่นเดียวกันกับระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ก๊าซธรรมชาติ ทั้งที่อยู่ในช่วงฤดูหนาวของยุโรป ซึ่งสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าไม่สดใสนัก”
สำหรับภาคการส่งออกในปี 2567 สศช.คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 3.8% เมื่อเทียบกับปี 2566 นอกจากนั้นต้องรักษาโมเมนตัมเศรษฐกิจในเรื่องของการส่งออก ซึ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ตัวเลขส่งออกสินค้ามีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ในส่วนนี้ต้องติดตามต่อเนื่องเพื่อให้เห็นชัดว่าโมเมนตัมการส่งออกนั้นฟื้นตัวได้จริง
“หากภาคการส่งออกดีขึ้นก็จะส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังภาคอุตสาหกรรมที่ต้องเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นทันที เพราะหากดูตัวเลขของการผลิตที่ติดลบในไตรมาสที่ผ่านมาเนื่องจากการส่งออกของเราหดตัวลง”
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวนั้นนอกจากการพยายามดึงนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น จะต้องพยายามเพิ่มการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อหัวให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยนั้นใช้จ่ายยังไม่มากเท่าที่ควร ตรงนี้ต้องมีการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัว นโยบายของประเทศไทยที่ควรทำต่อเนื่องคือการเร่งขยายตลาดการค้ากับต่างประเทศ และมีการขยายตลาดเพิ่มมูลค่าการค้ากับต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้มีตลาดที่รองรับการส่งออกหรือที่จะดึงการท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยควรเร่งรัดเจรจาการค้าและการลงทุน รวมถึงการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้ามากขึ้น