ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ทำไปเลย

ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ทำไปเลย

รัฐบาลเศรษฐา 1 ก็ถูกปรับไปแล้วอย่างกระท่อนกระแท่นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายนนี้ โดยพรรคเพื่อไทยเจ้าของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เป็นแกนนำเหมือนเดิม รัฐบาลเศรษฐา 2 ก็ต้องผลักดันโครงการนี้ต่อไปดังเดิม

ผมได้ฟังท่านสมชัย ศรีสุทธิยากร (ขออนุญาตเอ่ยนาม) อดีตกรรมการในคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้สัมภาษณ์ทีวีช่องหนึ่งเมื่อเช้าวันอังคารที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ในเรื่องความเป็นไปได้ที่รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการเงินดิจิทัลที่เป็นนโยบายหลักของพรรคนำของรัฐบาล

ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้แถลงอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 11 เมษายนว่า “ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมก็ทำไปเลย” ซึ่งท่านได้พูดซ้ำแบบนี้ 2-3 ครั้ง ด้วยน้ำเสียงฟังดูแปลกๆ

ทำให้ผมซึ่งในอดีตได้กำกับดูแล ธ.ก.ส. ตาม พ.ร.บ. ของ ธ.ก.ส. ในฐานะประธานคณะกรรมการธนาคารนี้นานถึงร่วมปีในช่วงปี 2557 หลังจากที่รัฐบาลสมัยท่านนายกยิ่งลักษณ์ ได้เอาเงินที่ให้ ธ.ก.ส. ไปกู้มาร่วม 400,000 ล้านบาทไปใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก

ก็อดที่จะไปหา พ.ร.บ.ธ.ก.ส. และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังมาดูด้วยตัวเองอีกครั้งไม่ได้ เพราะสงสัยอยู่เหมือนกันว่ารัฐบาลจะไปเอาเงินของ ธ.ก.ส. มาใช้แจกประชาชนเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ตได้อย่างไร ลองมาดูข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้ลึกหน่อยครับ

ประการที่ 1 การใช้ ธ.ก.ส. เป็นช่องทางหาเงินก้อนโตมาทำนโยบายประชานิยม

เท่าที่ได้สดับตรับฟังเรื่องนี้มาร่วมเดือน ทั้งสื่อและนักวิชาการจำนวนมากต่างก็มีความสงสัยเหมือนผม ดูๆ แล้วที่เป็นเช่นนี้ เพราะผู้ที่สงสัยไม่ใช่ผู้ที่ไม่ชอบรัฐบาล ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ชอบพรรคเพื่อไทย แต่ผู้ที่สงสัยนี้เป็นผู้ที่รู้ดีว่า

โครงการรับจำนำข้าวเปลือกในสมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลที่ดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ 2554 – 2556 นั้น ได้สร้างความเสียหายด้านการเงินให้แก่ประเทศรวมทั้ง ธ.ก.ส. มากถึง 556,507 ล้านบาท หรือประมาณ 25 % ของงบประมาณของประเทศในปีที่ทำโครงการ

และในสมัยนั้น ธ.ก.ส. ก็ช้ำมากที่ถูกสั่งให้ไปรับหน้าเสื่อไปกู้เงิน โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันถึงประมาณ 410,000 ล้านบาท และต้องเอาเงินทุนที่มีไม่มากของ ธ.ก.ส. เองมาช่วยในกรอบวงเงินถึง 90,000 ล้านบาท

ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ทำไปเลย

จากงบการเงินของ ธ.ก.ส. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ปรากฎว่า เงินที่ได้ใช้จริงตั้งแต่เริ่มโครงการจำนำข้าวเปลือกจนจบมีจำนวน 960,665 ล้านบาท หักด้วยรายรับจากการระบายผลิตผลและการไถ่ถอน 404,158 ล้านบาท ขาดทุนหรือก่อให้เกิดความเสียหายที่ต้องใช้เงินภาษีไปชำระหนี้ประมาณ 556,507 ล้านบาท

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ธ.ก.ส. เป็นธนาคารเพื่อการเกษตรของรัฐบาลต้องช่วยชาวไร่ชาวนา ก็ต้องไปหาเงินมาทำโครงการนี้ แต่แท้ที่จริง ธ.ก.ส. ถูกรัฐบาลใช้ให้ไปหาเงินกู้มาโดยรัฐบาลสั่งให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้

ส่วนผู้ดำเนินงานโครงการกลับเป็นกระทรวงพาณิชย์ที่มีองค์การคลังสินค้าเป็นหัวหอก แล้วก็เกิดการฉ้อโกงกันมโหฬาร

แล้วเป็นไงครับ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเจ๊ง มีการสอบสวนแล้วฟ้องศาลอยู่นาน มีรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงติดคุกกันหลายคน เกิดความเสียหายที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบถึงประมาณ 556,507 ล้านบาท 

หนี้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกมหากาพย์ จึงเกิดขึ้นจำนวนมากมหาศาล ทุกวันนี้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณชำระหนี้ให้ ธ.ก.ส. ปีละประมาณ 28,000 ล้านบาท เกือบ 10 ปีมาแล้ว ยังไม่หมดนะครับ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 นี้ ยังมียอดหนี้คงค้างอยู่ถึง 173,000 ล้านบาท

และเมื่อนำไปรวมกับยอดหนี้โครงการช่วยเหลือเกษตรกรในผลผลิตด้านเกษตรอื่นๆที่รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยให้ ธ.ก.ส. ณ สิ้นธันวาคม 2566 มีจำนวนถึง 619,174 ล้านบาท ซึ่งจะต้องตั้งงบชดเชยไปเรื่อย

นอกจากนี้ ปีหนึ่งๆ รัฐบาลยังต้องตั้งเงินชดเชยเกี่ยวกับนโยบายที่รัฐบาลสั่งต่างกรรมต่างวาระลักษณะนี้ ให้หน่วยงานที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐอีกหลายแห่งด้วย เช่น ธนาคารออมสิน ธอส. ธนาคาร เอส เอ็ม อี และ บสย. เป็นต้น

ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ทำไปเลย

ซึ่งรวมกันแล้ว ในสิ้นปีงบประมาณ 2566 มียอดจ่ายเงินชดเชยสะสมซึ่งเป็นภาระผูกพันที่เกิดจากการดำเนินงานตามมาตรา 28 ตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังสูงถึง 1,004,391 ล้านบาท หรือ 31.5 % ของงบประมาณรายจ่าย และในปีงบประมาณ 2567 นี้ รัฐบาลยังได้ขยายกรอบนี้ให้เป็น 32 % เพื่อรับนโยบายประชานิยมที่มีแต่จะเพิ่มขึ้น

สรุปได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลแทบทุกยุคทุคสมัย ได้ใช้ธนาคารของรัฐทุกแห่งช่วยประชาชนที่ยากไร้และเปราะบางมากอยู่แล้ว จนรัฐบาลต้องแบกภาระจัดหาเงินมาชดเชยเพิ่มขึ้นทุกปี

แม้จะมีการออก พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังมากำกับควบคุมจนชนเพดานหนี้แล้ว แต่รัฐบาลยังไม่สนใจกลับจะหาทางสร้างหนี้เพิ่ม แม้ส่วนใหญ่ที่มาของเงินดิจิทัลวอลเล็ตนี้จะรีดมาจากงบประมาณปี 2567 คือปีนี้ 175,000 ล้านบาท และงบประมาณปี 2568 วงเงิน 152,700 ล้านบาท

รวมทั้งหมดที่ไม่ต้องใช้เงินกู้จำนวน 327,700 ล้านบาท หรือประมาณ 9 % ของงบประมาณปี 2567 นั้น ทำเสมือนว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่เหลือ แต่ผมเรียกว่าเป็นเงินที่รีดมาจากงบประมาณ ที่ตั้งกันมาอย่างกระเบียดกระเสียนเต็มที่อยู่แล้ว

แต่โครงการที่ถูกรีดซึ่งเข้าใจว่าส่วนใหญ่เป็นงบโครงการลงทุน ก็จะต้องคอยงบปีหน้าโน้น ซึ่งก็จะเป็นงบประมาณขาดดุลเต็มพิกัดอยู่ดี

ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ทำไปเลย

ประการที่ 2 การปฏิบัติตามกฎหมายการเงินการคลังของรัฐบาล

คนที่พอจะรู้จักว่า GDP คืออะไร ขยายตัวได้หรือไม่อย่างไร ทุกคนต่างพูดด้วยอาการละเหี่ยใจว่า รัฐบาลนี้คิดได้อย่างไรว่าจะเอาเงินจาก ธ.ก.ส. ไปแจกจ่ายเพื่อช่วยให้ GDP โตขึ้นอย่างมีนัยได้

สำหรับคนที่เป็นนักกฎหมายหรือเป็นนักการเมืองก็ตั้งข้อสงสัยว่า การที่รัฐบาลจะไปเอา ธ.ก.ส. มาเป็นเครื่องมือหาเงินมาช่วยเกื้อหนุนนโยบายของพรรคที่นำรัฐบาลในครั้งนี้ มันตรงกับวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. หรือไม่อย่างไร

ทั้งที่เป็นพระราชบัญญัติต้นฉบับ พ.ศ. 2509 และทั้งที่มีการแก้ไขในช่วง 58 ปีที่ ธ.ก.ส. ได้ก่อตั้งมาถึง 7 ครั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับความจำเป็น มันเข้าตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ตรงไหน

อ่านและวิเคราะห์ดูให้ละเอียดเถอะครับว่ามีข้อไหนพอจะนำมาแปลความได้ว่า ธ.ก.ส. สามารถนำเงินของ ธ.ก.ส. หรือ เงินกู้ที่ผ่านมือ ธ.ก.ส.ไปให้รัฐบาลนำไปใช้เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้

และใคร่ขอแนะนำว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ถูกระบุไว้ตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติ ธ.ก.ส. พ.ศ. 2509 ว่าเป็นรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะถูกกล่าวโทษว่าบกพร่องในเรื่องนี้

และทั้งเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วย ท่านต้องอ่านให้เข้าใจมาตรา 28 ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า

“การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการโดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการนั้น ให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายและอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น เพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ........”

ซึ่งหมายความว่าจะเอาเงินของ ธ.ก.ส. ไปใช้เพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม แต่ให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย และอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐนั้น เท่านั้น

ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ทำไปเลย

ประการที่ 3 ความเปราะบางด้านการคลังของไทย

นักการเมืองของไทยระยะหลังนี้ดูเหมือนจะไม่รู้ด้านการคลังภาครัฐ หรืออาจรู้แต่ไม่ใส่ใจ แต่ที่แน่ๆคือไม่มีผู้ใดคิดแก้ไขจุดบอดด้านการคลังของไทยที่ชนเพดานหรือหลังพิงกำแพงแทบทุกตัว

ไม่ว่าจะเป็น ด้านหนี้สาธารณะ ด้านงบที่ต้องผูกพันชดเชยตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ด้านงบเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญของบุคลากรภาครัฐ งบสวัสดิการของประชาชนเพื่อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า งบสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นต้น

ดูจากเอกสารงบประมาณ ปี 2567 นี้ โดยเฉพาะในงบกลางจำนวนถึง 600,000 ล้านบาท หรือเท่ากับ 17.2 % ของงบประมาณรายจ่ายทั้งปี 3.480 ล้านล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทุกปี

โดยเฉพาะในงบกลางนี้มีรายจ่ายถึง 5 รายการล้วนเป็นรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายให้ข้าราชการและลูกจ้าง เช่น เงินเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลบุคลากรภาครัฐและอื่นๆ รวมกันถึง 489,165 ล้านบาท งบรายจ่ายเพื่อสวัสดิการสังคม

ซึ่งรวมถึงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า และงบสมทบกองทุนประกันสังคม ประมาณ 495,000 ล้านบาท งบชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการตามมาตรา 28 จำนวนประมาณ 81,658 ล้านบาท เป็นต้น

ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ทำไปเลย

ที่สำคัญที่สุดคือ งบชำระหนี้ภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567 นี้ ตั้งไว้ 346,380 ล้านบาท แยกเป็นงบชำระเงินต้น 118,320 ล้านบาท ชำระค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 228,060 ล้านบาท

ดูแล้วเสมือนไม่น่าห่วงเมื่อเทียบกับภาระหนี้ภาครัฐที่มี 9.337 ล้านล้านบาท คิดเป็น 52.38 % ของ GDP แต่จริงๆแล้วน่าห่วงมาก เพราะมีหนี้ภาครัฐที่ครบกำหนดจ่ายคืนมากกว่าที่รัฐบาลชำระหนี้ในแต่ละปีอีกมาก

ทั้งนี้เพราะกระทรวงการคลังได้ใช้วิธีกู้หนี้ใหม่มาชำระคืนหนี้เก่าที่ครบกำหนดต้องชำระปีหนึ่งๆ จำนวนไม่ใช่น้อย ทำให้ยอดชำระหนี้เงินต้นภาครัฐออกมาต่ำ และรัฐบาลก็หลับหูหลับตาปล่อยให้ยอดสะสมของหนี้สาธารณะมีอัตราส่วนสูงขึ้นแบบไม่รู้จบเมื่อเทียบกับ GDP 

ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศทุกปี ยังต้องตั้งงบผูกพันงบประมาณข้ามปี หรืองบรายจ่ายผ่อนส่ง ส่วนใหญ่ผ่อนจ่าย 3 ปี ซึ่งปีงบประมาณ 2567 นี้มีจำนวนงบประมาณผูกพันข้ามปีถึงจำนวน 185,756 ล้านบาท เท่ากับ 5.3 % ของงบประมาณรายจ่าย

กระทรวงที่ต้องจัดให้มากเริ่มจากกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม

ถ้ารัฐบาลเห็นว่าพร้อมในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ทำไปเลย

งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จำนวน 3.480 ล้านล้านบาท ที่ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเรียบร้อยแล้วนั้น เมื่อตัดทอนภาระผูกพันทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นผลจากการบริหารด้านการคลังแบบไม่ใส่ใจของแทบทุกรัฐบาลที่ผ่านมา

จนเหลืองบประมาณที่เป็นเม็ดเงินปลอดภาระผูกพันจริงๆเพียงไม่เกิน 60 % หรือประมาณ 2.1 ล้านล้านบาทเท่านั้น ที่สามารถนำไปใช้จ่ายเพื่อการบริหารราชการตามที่รัฐบาลต้องทำและสำหรับใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่หดน้อยลงทุกปี (นี่ยังไม่ได้หักเงินที่จะรั่วไหลจากการคอร์รัปชันนะครับ)

ด้วยสถานะการคลังของประเทศที่เปราะบางมากอย่างนี้ หากรัฐบาลยังเห็นว่าพร้อม และไม่ห่วงว่าโครงการ “มหาประชานิยมดิจิทัลวอลเล็ต” นี้ จะทำให้สถานะการคลังของประเทศที่สุดจะเปราะบาง ต้องแตกกระจุยก็เชิญทำไปเลยครับ.