5 ข้อดียกเลิก ‘ดิวตี้ฟรีขาเข้า’ รัฐหวังเพิ่มการใช้จ่ายในประเทศ 3 พันล้าน
“คลัง” แจงข้อดียกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า หวังเพิ่มรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ไม่ใช่ดิวตี้ฟรีกว่า 3.6 พันล้านบาทต่อปี ดันจีดีพีได้ 0.012% ช่วยเพิ่มการผลิต การจ้างงาน ในประเทศเพิ่มขึ้น
หนึ่งในมาตรการและแนวทางการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายที่กระทรวงการคลังได้นำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ คือการ ยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า รวมถึงการยกเว้นอากรของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้าเพื่อส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศ หรือการ "ยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า"
โดยมีสนามบิน 8 แห่งทั่วประเทศที่จะยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้า ได้แก่
- ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
- ท่าอากาศยานดอนเมือง
- ท่าอากาศยานเชียงใหม่
- ท่าอากาศยานภูเก็ต
- ท่าอากาศยานหาดใหญ่
- ท่าอากาศยานอู่ตะเภา
- ท่าอากาศยานสมุย
- ท่าอากาศยานกระบี่
โดยจากสถิติของกรมศุลกากรในปี 2566 มียอดจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในร้าน Duty Free ขาเข้ารวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 3,021.75 ล้านบาท
กระทรวงการคลังได้รายงานให้ ครม.รับทราบว่าจากการศึกษาผลประโยชน์และผลกระทบของการหยุดการดำเนินการ Duty Free ขาเข้าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ 5 ข้อดังนี้
1.ผลต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาตินักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น และมีการกระจายการใช้จ่ายและการบริโภคสินค้าและบริการภายในประเทศอย่างกว้างขวาง โดยหากมีการหยุดการดำเนินการ จำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลอดอากรขาเข้า 1 ปี คาดว่าจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นประมาณ 576 บาทต่อคนร้านค้าในประเทศได้รับเม็ดเงินหมุนเวียนใหม่เพิ่มเติมสูงสุด 3,460 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นการสร้างโอกาสและส่งผลเชิงบวกต่อการผลิต การลงทุน และการจ้างงานได้ต่อไป
2. ผลต่อการใช้จ่ายของผู้เดินทางชาวไทย ผู้เดินทางชาวไทยอาจจะเลือกใช้จ่ายซื้อสินค้าปลอดอากรจากประเทศต้นทางเพื่อทดแทน หรือใช้จ่ายซื้อสินค้าประเภทเดียวกันในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยขึ้นกับปัจจัยในการตัดสินใจที่แตกต่าง
3.ผลต่อผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยแม้ว่าผู้ประกอบการคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากรจะมีการสูญเสียรายได้อากรขาเข้าส่วนของการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลอดอากรขาเข้า
อย่างไรก็ดี ประเมินว่า หากมีการหยุดการดำเนินการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลอดอากรขาเข้าเป็นระยะเวลา 1 ปี คาดว่าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องในภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนร้านค้าทั่วไป เสมือนได้รับเม็ดเงินหมุนเวียนใหม่เพิ่มเติมสูงสุด 3,640 ล้านบาทต่อปี เป็นการสร้างโอกาสและส่งผลเชิงบวกต่อการผลิต การลงทุน และการจ้างงานได้
4.ในส่วนของผลกระทบต่อรายได้ของรัฐเม็ดเงินหมุนเวียนมีการกระจายสู่ผู้ประกอบการร้านค้าในวงกว้างเพิ่มมากขึ้นและส่งผลให้เกิดการขยายฐานการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม
และ 5.ผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม กรณีที่มีการหยุดดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้าเป็นระยะเวลา 1 ปี กระทรวงการคลังคาดว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.012% ต่อปี โดยจะส่งผลต่อเนื่องในทางเศรษฐกิจให้มีการผลิต การลงทุน และจ้างงานเพิ่มเติมซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในประเทศ และภาครัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต