การเมืองกับเศรษฐกิจไทยยุคนี้ เรื่องไหนจะตกต่ำกว่ากัน
ได้ฟังข่าวการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ปี 2567 ของประเทศไทยเราในยุคนี้แล้ว สุดแสนที่จะละเหี่ยใจ อนิจจาประเทศนี้กลุ่มผู้บริหารประเทศระดับวุฒิสภา ซึ่งในนานาประเทศคือ ผู้ทรงเกียรติสูงสุด
แต่ของประเทศไทย การสรรหากลับมาด้วยหนทางที่มาด้วยกลโกงตีแผ่ให้ฟังกันทั่วโลกแบบนี้ แล้วเราจะหาประชาธิปไตยไปคุยให้ต่างประเทศเขาฟังได้อย่างไรหนอ
การสรรหาผู้มีชื่อเสียง มีความรู้มีความสามารถเข้ามาบริหารประเทศในระดับสูงสุดของประเทศนั้น มีกลไกการเข้าไปรับตำแหน่งที่แฝงไว้ด้วยกลไกที่ไม่มีความเป็นธรรมาภิบาลสักนิดเลยหรือ
เราจะเห็นความรุ่งเรืองผ่องอำไพในอนาคตของประเทศได้อย่างไรกันครับ มองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์เลยครับ ตรงกันข้ามกลับเห็นแต่ความสิ้นชาติกำลังคืบคลานมาแทน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ฟังข่าวการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก ที่ทำการวิเคราะห์โดยธนาคารโลก ซึ่งที่ทำมาเป็นประจำทุกปีแล้วไม่ค่อยจะผิดเลย ปรากฏว่าในปี 2567 GDP ของไทยจะโตได้แค่ 2.4% เท่านั้น ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม GDP เขาจะโตกัน 4- 5 % กันทั้งนั้น ของเรามันต่ำแบบนี้มานานเกินแล้วนะครับ
การที่ธนาคารโลกมองเศรษฐกิจไทยว่าโตแบบลิ้นห้อยเช่นนี้ แน่นอนมาจากปัจจัยรุมเร้าหลักสองเรื่องเท่านั้นซึ่งจริงๆแล้วก็ทราบกันดีแล้ว
ประการแรก เป็นเรื่องของโครงสร้างที่ทางเศรษฐกิจพื้นฐานที่เป็นตัวถ่วงตัวฉุดการเติบโตของ GDP ไทยมาเป็นเวลานานนมที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและต่อเนื่องจากรัฐบาลใดๆเลย
เรื่องตัวฉุดตัวถ่วงทางเศรษฐกิจที่ยากเกินแก้ของไทย ได้แก่
- หนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบเท่า GDP จนเอาไม่อยู่
- การผลิตสาขาหลักทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมของไทยที่ปรับตัวให้มีประสิทธิภาพสูง เพื่อเพิ่มสมรรถภาพการแข่งขันไม่ได้
- แรงงานในวัยทำงานเพื่อการผลิตไม่ได้รับการบริหารจัดการ เพื่อรองรับการแข่งขันกับประเทศอื่นได้
- การพัฒนาโครงสร้างด้านโลจิสติกส์ เช่น การคมนาคมขนส่งทั้งทางน้ำ ทางบก เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถสนองการผลิตที่มีประสิทธิภาพให้แข่งขันกับประเทศอื่นได้ เป็นต้น
ประการที่สอง เป็นเรื่องของการมีสภาวะการเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องกลไกการโกงเพื่อเข้าสู่อำนาจ เพื่อยึดโยงอำนาจ และเพื่อใช้อำนาจในทางที่เอื้อประโยชน์แก่พรรคและพวกพ้องมากกว่าในทางที่เอื้อประโยชน์ต่อประเทศชาติแต่อย่างใด
จนปรากฏให้เห็นยิ่งชัดเจนในทุกวันนี้ว่าไม่มีนักการเมืองผู้ใดในประเทศนี้ใส่ใจต่อเรื่องธรรมาภิบาลแม้แต่น้อย จะมีนักการเมืองน้ำดีอยู่บ้างก็ถูกสกัดให้ออกนอกวงการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว
อยากถามท่านผู้อ่านที่รักประเทศชาติด้วยความจริงใจทั้งหลายว่า สภาวะการเมืองและเศรษฐกิจของไทยที่ยากต่อการเยียวยาแก้ไขในระยะยาวได้อย่างที่เห็นในขณะนี้ เรื่องไหนจะมีหนทางพลิกฟื้นขึ้นมาได้ก่อนกัน.