“ตลาดสัตว์เลี้ยง” บูมสร้างรายได้แตะ 2.5 แสนล้านบาท

“ตลาดสัตว์เลี้ยง” บูมสร้างรายได้แตะ 2.5 แสนล้านบาท

“ธุรกิจสัตว์เลี้ยง” โตต่อเนื่อง 5 ปีที่ผ่านมาหลังผู้บริโภค ตกเป็น ‘ทาส’ ซื้อของอาหาร ของเล่น ของใช้ แบบไม่อั้น  ดันธุรกิจเฟื่องฟู เผยปี 66 รายได้รวม 258,703 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 14,990 ล้านบาท ด้านนายกเศรษฐา โพสต์ รัก”น้องหมา”พร้อม เปย์ไม่อั้น ชี้เป็นโอกาสทองของธุรกิจไทย

KEY

POINTS

Key Point

  • ปี 2567 ไทยมีธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่จดทะเบียนนิติบุคคล 5,009 ราย
  • ผลประกอบการภาพรวม 3 ปีย้อนหลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ธุรกิจสัตว์เลี้ยง มีธุรกิจ 3 กลุ่ม คือ ฟาร์มสัตว์  อาหารของเล่นและบริการ ดูแล

“ธุรกิจสัตว์เลี้ยง”และที่เกี่ยวเนื่อง เป็นธุรกิจมาแรงที่เกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการดำรงชีวิตที่นิยมเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นสมาชิกของครอบครัว รวมทั้ง การดูแลที่ใส่ใจต่อสัตว์เหล่านั้นมากขึ้น โดย

แนวโน้มและรูปแบบการเลี้ยงสัตว์ของคนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเสมือนคนในครอบครัว (Pet Humanization) และการเลี้ยงสัตว์แบบ Petriarchy หรือ เหล่าทาสที่พร้อมจะเปย์เจ้านายแบบไม่จำกัด ทำให้เกิดการลงทุนในสุขภาพและความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงเหมือนคนจริง ๆ และการซื้อของเล่น ของใช้ อาหารแบบพรีเมียมเพื่อตามใจน้องๆ ที่เรารัก

ไม่เว้นแม้แต่ "นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี"ที่โพสต์ผ่าน “X” (ทวิตเตอร์) ว่า”  ตอนนี้ เทรนด์ Pet Parent หรือการดูแลน้องหมา น้องแมวเหมือนลูกมาแรงมาก ๆ ครับ ทำให้ห้าง ร้าน คาเฟ่ ก็ต่างปรับตัวเป็น Pet Friendly กันเยอะขึ้น เช่นเดียวกับ ธุรกิจที่เกิดใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ทั้งโรงแรม โรงเรียน สระว่ายน้ำ สปา ไปจนถึง อาหาร เสื้อผ้า และของใช้ Gadget อย่างน้ำพุให้น้ำ เครื่องอบขนหลังอาบน้ำ หรือเครื่องให้อาหารอัตโนมัติผ่าน WIFI ที่ตอบโจทย์คนวัยทำงาน

“ผมก็เป็นหนึ่งในคนรักหมา แต่ละเดือนก็ใช้จ่ายกับน้องไปพอสมควรเลยครับ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ ‘ตลาดสัตว์เลี้ยง’ โตอย่างต่อเนื่องมาซักละระยะแล้ว และจากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี 2566 พบว่าธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้กว่า 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งผมคิดว่านี่คือโอกาสทองของนักธุรกิจไทยที่เก่งทางด้านการผลิตและบริการ รวมถึงโอกาสของภาคการท่องเที่ยวที่พาสัตว์เลี้ยงไปด้วยกันได้ ทำให้มีกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย นักธุรกิจไทยห้ามพลาดโอกาสนี้นะครับ”

“ตลาดสัตว์เลี้ยง” บูมสร้างรายได้แตะ 2.5 แสนล้านบาท

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ 2567 พบว่า ‘ธุรกิจสัตว์เลี้ยง’ มีอัตราการเติบโตขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2566) ทั้งจำนวนการจัดตั้งใหม่และทุนจดทะเบียน โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567 ประเทศไทยมีธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่จดทะเบียนนิติบุคคล 5,009 ราย แบ่งเป็นธุรกิจ 3 กลุ่ม คือ ฟาร์มสัตว์ 1,233 ราย, อาหารของเล่น 2,138 ราย และบริการ ดูแล 1,638 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 98,798 ล้านบาท แบ่งเป็น ฟาร์มสัตว์ 11,966 ล้านบาท, อาหาร ของเล่น 80,444 ล้านบาท และบริการ ดูแล 6,388 ล้านบาท

ผลประกอบการภาพรวม 3 ปีย้อนหลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ปี 2564 มีรายได้รวม 218,714.93 ล้านบาท กำไร 2,963.03 ล้านบาท ปี 2565 รายได้รวม 244,530.23 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 25,815.30 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 11.81%) กำไร 13,656.17 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10,693.14 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 360.89%) ปี 2566 รายได้รวม 258,702.91 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14,172.68 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 5.80%) กำไร 14,989.64 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,333.47 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 9.77%)

ในธุรกิจสัตว์เลี้ยงกลุ่มอาหารของเล่นถือเป็นกลุ่มที่เติบโตได้ดีที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากพฤติกรรมที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตตามไปด้ยว

โดยในปี 2566 ธุรกิจสัตว์เลี้ยงมีรายได้รวมอยู่ที่ 258,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 คิดเป็น 5.79% เป็นกำไรสุทธิ 14,990 ล้านบาท โดยกลุ่มอาหาร ของเล่นเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้สูงสุดอยู่ที่ 196,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 คิดเป็น 8.64% เป็นกำไรสุทธิ 14,263 ล้านบาท

รองลงมากลุ่มบริการดูแล สร้างรายได้ 23,562 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 คิดเป็น 0.96% เป็นกำไรสุทธิ 912 ล้านบาท และกลุ่มฟาร์มสัตว์ สร้างรายได้ 38,837 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 2565 คิดเป็น 4.11% ประกอบกับมีกำไรสุทธิลดลง 184.74 ล้านบาท

“ตลาดสัตว์เลี้ยง” บูมสร้างรายได้แตะ 2.5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจในกลุ่มบริการ ดูแล   มีเทรนด์การเติบโตที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นธุรกิจที่ให้บริการด้านสุขภาพอย่างธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ บริการรับฝากสัตว์เลี้ยง อาบน้ำ /ตัดขน สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2567 มีการจัดตั้งใหม่ 191 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 7 ราย คิดเป็น 3.80% มีทุนจดทะเบียน 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 51 ล้านบาท คิดเป็น 19.62%

“อรมน ทรัพย์ทวีธรรม “อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์  ให้ข้อมูลว่า จากการวิเคราะห์  Gen ในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง พบว่า  Gen Z นิยมเลี้ยงสุนัขมากที่สุด GenY ต้องการเสริมพลังบวกจากแมว Gen X นิยมเลี้ยงนกและปลา ขณะที่ Baby Boomer นิยมเลี้ยงสัตว์น้อยที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์การเลี้ยงสัตว์พิเศษ หรือ Exotic Pet มากขึ้น อาทิ สัตว์เลื้อยคลาน งู กิ้งก่ายักษ์ เต่า บุชเบบี้ (ลิงตัวเล็ก) ชินชิล่า ชูการ์ไรเดอร์ และนกแก้ว เป็นต้น ซึ่งบางประเภทเป็นสัตว์ที่ต้องมีใบอนุญาตตามอนุสัญญาไซเตสเพราะเป็นสัตว์ต่างถิ่นที่ต้องมีการนำเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้ว Exotic Pet จะเป็นสัตว์ที่ใช้พื้นที่ในการเลี้ยงไม่เยอะมากเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเมืองไม่มีพื้นที่มาก แต่ต้องการมีเพื่อนไว้คลายเหงานั่นเอง 

โดยยอดขายผลิตภัณฑ์ของสัตว์เลี้ยง Exotic Pet เติบโตสูงกว่า 50% ขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับแมวเติบโต 8% และยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสุนัขเติบโต 6%  ซึ่งทำให้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงและที่เกี่ยวเนื่อง เป็นธุรกิจมาแรง ส่งผลให้ธุรกิจมีรายได้รวมและผลกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนสนใจเข้าสู่ธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เพราะมีโอกาสในการทำกำไรได้ในระยะยาว

สำหรับทิศทางของ “ธุรกิจสัตว์เลี้ยง”ยังมีอนาคตที่สดใส เพราะตลาดมีการแข่งขันกันมากขึ้น ในขณะที่จำนวนผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน มากไปกว่านั้น สัตว์เลี้ยงได้กลายมาเป็นคอนเทนต์สร้างสีสันในโลกโซเชียล (Petfluencer) สร้างรายได้ให้เจ้าของที่นำเรื่องราวความน่ารักหรือการพาสัตว์เลี้ยงของตนเองไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ มาเผยแพร่ บนโลกออนไลน์“ธุรกิจสัตว์เลี้ยง”จึงเป็นธุรกิจดาวเด่นที่น่าจับตามองในยุคนี้