'ส.อ.ท.' เปิด 4 ปัจจัยเสี่ยง ฉุดเศรษฐกิจปลายปี'67 ทรุด

'ส.อ.ท.' เปิด 4 ปัจจัยเสี่ยง ฉุดเศรษฐกิจปลายปี'67 ทรุด

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดผลสำรวจ "FTI CEO Poll" สะท้อนทิศทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยครึ่งปีหลัง ที่เหลือของปี 2567 พบ 4 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตไทย

KEY

POINTS

  • หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น ได้เพิ่มตัวเลขของหนี้เสีย (NPL) ตามมา สถาบันทางการเงินต่างเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น 
  • สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาในประเทศไทย ทำให้ภาคการผลิตยิ่งสู้ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้จากผู้ผลิตปรับเปลี่ยนมาเป็นผู้นำเข้าสินค้าแทน
  • 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% (YoY) คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,569.89 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีน  -19,967.46  ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.66% (YoY)
  • เปิด 4 ปัจจัยเสี่ยง "ค่าจ้าง-ต้นทุน-สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ-กำลังซื้อชะลอตัว" ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลัง

จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ภาคการผลิตต่างทยอยปิดกิจการลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตามมาด้วยปัญหาการเลิกจ้างงาน ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของคนในประเทศ หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น ได้เพิ่มตัวเลขของหนี้เสีย (NPL) ตามมา สถาบันทางการเงินต่างเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น 

ดังนั้น เมื่อการใช้จ่ายของประชาชนต้องรัดเข็มขัดมากยิ่งขึ้น ผนวกกับสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาในประเทศไทย และแย่งตลาดในภูมิภาคอาเซียน ยิ่งทำให้ภาคการผลิตยิ่งสู้ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้จากผู้ผลิตปรับเปลี่ยนมาเป็นผู้นำเข้าสินค้าแทน

โดยข้อมูล 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% (YoY) คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,569.89 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีน  -19,967.46  ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.66% (YoY)

ส่งผลกระทบกับภาคการผลิตกว่า 23 กลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (e-commerce) ที่เข้ามาเปิดตลาดในประเทศโดยขายสินค้าจากโรงงานตรงสู่ผู้บริโภคในราคาถูก ซึ่งเป็นการค้ารูปแบบใหม่ของจีน ยิ่งกดดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 40 ในเดือนก.ค. 2567 ถึง “ทิศทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยครึ่งปีหลัง” พบว่า จากการสำรวจความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 143 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด 

สะท้อนมุมมองและความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือของปี 2567 รวมทั้งข้อเสนอแนะทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนที่มีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยมีสรุปผลการสำรวจดังนี้

1. ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ธุรกิจและยอดขายมีทิศทางอย่างไรเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

  • อันดับ 1 : ทรงตัว (30.8%)
  • อันดับ 2 : หดตัว 1 - 10% (23.8%)
  • อันดับ 3 : ขยายตัว 1 - 10% (21.0%)
  • อันดับ 4 : หดตัวมากกว่า 10% (19.6%)
  • อันดับ 5 : ขยายตัวมากกว่า 10% (4.9%)

2. ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจและยอดขายอย่างไรเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก

  • อันดับ 1 : ไม่เปลี่ยนแปลง (39.8%)
  • อันดับ 2 : แย่ลง (32.2%)
  • อันดับ 3 : ดีขึ้น (28.0%)

3. ปัจจัยสนับสนุนที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2567

  • อันดับ 1 : การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 (56.0%)
  • อันดับ 2 : ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ (41.4%)
  • อันดับ 3 : การส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2567 (38.8%)
  • อันดับ 4 : มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ขยายตัว (21.6%) ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

4. ปัจจัยเสี่ยงเรื่องใดที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลัง

  • อันดับ 1 : การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ (54.5%)
  • อันดับ 2 : ต้นทุนการผลิตที่ผันผวนอยู่ในระดับสูงทั้งจากค่าไฟฟ้า พลังงาน (51.0%) ราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่ง
  • อันดับ 3 : สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศ (38.5%) และตลาดเป้าหมายของไทย
  • อันดับ 4 : กำลังซื้อของประชาชนที่ชะลอตัวจากหนี้ครัวเรือนและ NPL ที่อยู่ในระดับสูง (35.7%)

5. ภาครัฐควรดำเนินมาตรการใดเพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง

  • อันดับ 1 : ส่งเสริมกลไกการจ่ายค่าจ้างแรงงานตามทักษะ หรือ Pay by Skill (55.9%) แทนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ
  • อันดับ 2 : ส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือ Made in Thailand (50.3%) ในภาคเอกชนผ่านมาตรการทางภาษี
  • อันดับ 3 : แก้ไขปัญหาหนี้สินของ SMEs และหนี้ครัวเรือนที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย หรือ NPL (47.6%)
  • อันดับ 4 : มาตรการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต (41.3%)

6. ผู้ประกอบการควรปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอย่างไร

  • อันดับ 1 : นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (67.1%) และพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ๆ
  • อันดับ 2 : นำระบบบริหารจัดการมาช่วยในการลดต้นทุนการผลิต (47.6%) เช่น LEAN Manufacturing
  • อันดับ 3 : สร้างเครือข่ายและพันธมิตรเพื่อร่วมกันแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ (47.6%)
  • อันดับ 4 : ขยายตลาดใหม่หรือทำตลาดในหลายประเทศเพื่อลดความเสี่ยง (45.5%) จากการพึ่งพาตลาดเดียว

7. ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ภาครัฐควรเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมในเรื่องใด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

  • อันดับ 1 : ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ และทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุน (48.3%) เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม
  • อันดับ 2 : พัฒนาระบบการศึกษา และส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน (46.9%) Upskill & Reskill & Newskill ให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต
  • อันดับ 3 : ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมแบบมุ่งเป้าในภาคการผลิต (42.7%)
  • อันดับ 4 : สนับสนุนการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด (26.6%) และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่ความยั่งยืน

8. คาดการณ์ GDP เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 จะขยายตัวในระดับใด 

  • อันดับ 1 : ขยายตัวต่ำกว่า 2% (51.7%)
  • อันดับ 2 : ขยายตัว 2 – 3% (39.9%)
  • อันดับ 3 : ขยายตัว 3 – 4% (5.6%)
  • อันดับ 4 : ขยายตัวมากกว่า 4% (2.8%)