‘อุตฯเหล็กไทย’ หืดขึ้นคอ ต่างชาติรุกตลาด-ยึดฐานผลิต
"อุตสาหกรรมเหล็ก" หืดขึ้นคอ และทยอยปิดกิจการ ภายหลังบว่าผู้ประกอบธุรกิจต่างบชาติเข้ามารุกตลาดผลิตเหล็กในประเทศไทยครบวงจร
จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่มีผลกระทบ ผนวกประเทศมหาอำนาจอย่างจีนที่ก้าวเป็นผู้นำเทคโนโลยีสามารถผลิตสินค้าในปริมาณมหาศาลสามารถคุมต้นทุนได้จีนจึงเข้ามาครองส่วนแบ่งทางการตลาดจำนวนมากทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งประเทศไทย
จากข้อมูลสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พบว่าในภาพรวมแม้อุตสาหกรรมเหล็กในไทยจะมีการเติบโตแต่ก็มีโรงงานไม่น้อยต้องปิดตัวลง เพราะด้วยต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ทั้งค่าไฟ-น้ำมัน
อีกทั้งจากภาคอสังหาริมทรัพย์จีนที่มีความต้องการใช้เหล็กสัดส่วน 30% ของความต้องการเหล็กทั้งประเทศ อ่อนตัวลง ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กในภาพรวมของจีนลดลงด้วย
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เล่าว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้ผลิตเหล็กจีนซึ่งมีความได้เปรียบเชิงต้นทุน มีการส่งออกมากขึ้น โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) ยอดการส่งออกสินค้าเหล็กสำเร็จรูปที่ 53.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
และหากยังคงส่งออกในระดับนี้ คาดว่าการส่งออกรวมในปี 2567 จะเท่ากับ 106.8 ล้านตัน ใกล้เคียงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 110 ล้านตัน เหมือนปี 2558 หรือสูงสุดรอบ 9 ปี
ในขณะที่ การนำเข้าเหล็กของไทยในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2567 มีปริมาณการนำเข้าสินค้าเหล็กสำเร็จรูปจากจีนยังสูงเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ปริมาณ 2.397 ล้านตันเพิ่มขึ้น 0.9% หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 43% ของปริมาณการนำเข้าของไทย
ในขณะที่อัตราการใช้กำลังผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทยต่ำสุดรอบ 7 ปี โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) อยู่ที่ระดับ 29.3% เท่านั้นโดยปี 2566 มีอัตรการใช้กำลังการผลิตเพียง 31.2% ส่วนปี 2565 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 33.4%
สอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) พบสินค้าไม่ได้มาตรฐานกว่า 344 ล้านบาทและพบด้วยว่าเหล็กและวัสดุก่อสร้างสูงเป็นอันดับ 1 มูลค่ากว่า 126 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37%
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเหล็กไทยกำลังเผชิญสถานการณ์บริษัทเหล็กจีนเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท.ได้รวบรวมข้อมูล พบว่ามีบริษัทจีนเข้ามาลงทุนขนาดกำลังการผลิตรวม 12.42 ล้านตันในขณะที่ความต้องการใช้เหล็กของไทยในปี 2567 อยู่ที่ 16 ล้านตันเท่านั้นการผลิตเหล็กตอนนี้จึงใกล้เคียงกับความต้องการใช้ในประเทศแล้ว
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายที่ต้องหาตลาดส่งออกมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยผู้ผลิตยังต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นวิกฤตินี้ทำให้ผู้ผลิตเหล็กสัญชาติไทยต้องทยอยปิดกิจการ เพราะโดนแย่งตลาดทั้งในและต่างประเทศ
หวังว่าภาครัฐจะเห็นถึงความสำคัญไม่เปิดกว้างให้ต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานเหล็กในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากไปกว่าเดิม... ไม่เช่นนั้น ธุรกิจเหล็กในไทยอาจต้องปิดกิจการจนหมดและท้ายที่สุดจะกลายเป็นผู้ผลิตเหล็กจากต่างชาติที่รุกเข้ามาทำธุรกิจนี้แทนคนไทย