‘เอกชน’ เสนอรัฐบาล ‘แพทองธาร’ เร่งเพิ่มแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ

‘เอกชน’ เสนอรัฐบาล ‘แพทองธาร’ เร่งเพิ่มแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ

“หอการค้า” เสนอรัฐบาลใหม่ รักษาเสถียรภาพเงินบาท ลุยท่องเที่ยว รุกตลาดใหม่ดันส่งออก สานต่อนโยบายดึงลงทุน-ซอฟต์พาวเวอร์ "ส.อ.ท." ชงแก้ 3 เรื่องเร่งด่วน แนะตั้งรัฐบาลให้เสร็จใน 1 เดือน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้ารับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เมื่อวันที่ 18 ส.ค.2567 เวลาตามฤกษ์ 09.29 น. มีการประกาศเดินหน้านโยบายสำคัญประกอบด้วย การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รวมถึงสานต่อนโยบายต่อจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ประกอบด้วยการเดินหน้านโยบายซอฟต์พาวเวอร์, นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ และนโยบายการปราบปรามยาเสพติด

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าการตั้งรัฐบาลควรเสร็จภายใน 1 เดือน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายประเทศ ทั้งนี้ มีนักลงทุนต่างชาติสอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อต้องการรับทราบความชัดเจนของประเทศไทย โดยส่วนใหญ่ก็ยังมีความต้องการลงทุนอยู่ เพียงแต่ต้องการความต่อเนื่องของนโยบาย

ในมุมมองของภาคเอกชนไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดที่นางสาวแพทองธาร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็น 1 ในรายชื่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยแต่แรก โดยเชื่อว่าน่าจะสามารถทำงานประสานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ ทำให้การเมืองมีสเถียรภาพเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนคาดหวังว่าจะได้เห็นนโยบายที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนโยบายการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ซึ่งเวลานี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับนโยบายดังกล่าว เพราะถือเป็นนโยยบายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากงบประมาณที่ล่าช้า 6-7 เดือน จึงมีความจำเป็นต้องกระตุ้น

“เวลานี้งบประมาณใช้ได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลต่อหรือไม่ ซึ่งในมุมมองของภาคเอกชนหากเป็นไปได้ก็ต้องการให้แบ่งงบประมาณออกเป็นหลายก้อน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้หลากหลาย และครอบคลุมในทุกมิติ เพราะปัญหาหลักของไทยเวลานี้คือเรื่อง ปากท้องของประชาชน และความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอี”

ส.อ.ท.ชงรัฐบาลใหม่แก้3เรื่องเร่งด่วน

นายเกรียงไกร กล่าวว่า สิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและเร่งด่วน ซึ่ง ส.อ.ท.ย้ำเสมอและไม่เปลี่ยนจากเดิม คือ

1. นโยบายช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะขีดความสามารถทางการแข่งขันโดยหลัก ๆ มาจากต้นทุนที่สูงขึ้นในทุกอย่าง ทั้งวัตถุดิบ ราคาพลังงาน ค่าไฟและน้ำมัน รวมถึงค่าแรงที่กำลังจะปรับขึ้น 400 บาททั่วประเทศ วันที่ 1 ต.ค. 2567 นี้ สิ่งเหล่านี้ ก็หวังว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรให้ต้นทุนเหล่านี้ต่ำลงและสามารถแข่งขันได้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งในระบบและนอกระบบที่ยังคงสูงมาก

2. เงินทุน ปัจจุบันเอสเอ็มอีกำลังขาดออกซิเจน คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขณะนี้ ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ หลายธนาคารได้ประกาศลดเป้าหมายของการปล่อยสินเชื่อ และมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเม็ดเงินที่จะปล่อยได้ถูกจำกัดและลดลงไปอีก

ดังนั้น ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่มหาศาล รัฐบาลต้องหาเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเติมเงินเข้าไปให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งเงิน ที่นอกจากธนาคารพาณิชย์แล้วจะต้องมีกลไกอื่นมาเติมให้สู้ต่อไปได้

3. สินค้าราคาถูกต่างประเทศเข้ามาแย่งตลาด ขณะนี้ที่ทราบว่าสินค้าราคาถูกได้ทะลักมาทุกทิศทุกทาง จนท่วมตลาดทั้งในไทยและภูมิภาค ส่งผลให้เอสเอ็มอีไทยแข่งขันไม่ได้ จนต้องปิดกิจการมากมาย เหมือนช่วง 6 เดือน ม.ค.-พ.ค. 2567 ปิดกิจการกว่า 667 แห่ง

“ต้องยอมรับว่าสินค้าที่เข้ามาในไทยมีมาแทบจะทุกทิศทุกทาง ดังนั้น การสกัดสินค้าด้อยคุณภาพเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลโดยนายเศรษฐา ได้เร่งดำเนินการก่อนจะถูกตัดสินให้พ้นเก้าอี้นายกฯ โดยเรียกกระทรวงและหนวยงานต่างๆ ที่กำกับดูแล ให้เร่งแก้ปัญหา หวังว่ารัฐบาลจะทำต่อและต้องรีบเร่งกว่าเดิม” นายเกรียงไกร กล่าว

หอการค้าชง 6 ข้อเสนอให้รัฐบาลใหม่

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจไทยของรัฐบาลในระยะสั้นยังต้องการนโยบายควิกวินที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างเร่งด่วน 6 ข้อ คือ

1. รักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่แข็งค่ามากเกินไป ซึ่งจะเอื้อต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตต่อเนื่อง

2. การรักษาโมเมนตัมภาคท่องเที่ยว โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเข้ามาเดือนละ 3 ล้านคน รวมไปถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวตลอดจนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและบริการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 36-37 ล้านคน

3.การเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศ เพื่อให้การส่งออกของไทยให้ขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือไม่ต่ำกว่า 2% ต่อเนื่องจากที่ช่วงก่อนหน้านี้ไปเชิญชวน ให้มีการเจรจาและเชิญหลายบริษัทมาลงทุนที่ประเทศไทย

4. การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ให้กระจายไปทุกภูมิภาค ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างเด่นชัด และควรเร่งจัดทำงบประมาณปี 68 ให้เสร็จสิ้นตามกระบวนการหรือในกรอบระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้ยืดเยื้อในปีที่ผ่านมา

5.การแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน ทั้งมาตราการเยียวยาและการกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง รวมถึง มาตรการปกป้องและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับความเดือดร้อนจากสินค้านำเข้าที่ทะลักเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีน

6. พรรคร่วมรัฐบาลจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน

“การที่มีนายกรัฐมนตรีได้เร็วทำให้ประเทศไม่เกิดสุญญากาศ ส่วนนี้ทำให้เรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้เร็ว ส่วนเรื่องที่มีนายกฯ หญิงอายุน้อย ขึ้นอยู่ที่การแสดงความเป็นผู้นำและการบริหารราชการแผ่นดินหลังจากนี้สำหรับความพร้อมของการบริหารงานที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็เชื่อว่า พรรคเองมีความพร้อมด้านบุคคลกรที่มีความรู้ความสามารถในทุกด้านอยู่แล้ว”

หนุนเดินหน้าซอฟต์พาวเวอร์

นอกจากนี้ หลายมาตรการของอดีตนายกเศรษฐา โดยเฉพาะการเปิดประตูการค้า และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลชุดใหม่จำเป็นต้องเดินหน้าสานต่อ โดยมีการกำหนดกระทรวงหรือผู้รับผิดชอบขึ้นเพื่อติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการที่เกี่ยวข้อง Soft Power ส่วนนี้ไทยได้เปรียบและต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยได้อยู่แล้ว

ทั้งนี้ เอกชนเห็นด้วยว่าควรเดินหน้าขับเคลื่อนในประเด็นนี้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ยังเป็นปัญหาของไทยที่ยังขาดบุคคลากรที่มีความพร้อมในด้านทักษะที่เพียงพอ ตลอดจนปัญหาด้านต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ยังสูงและกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุน สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องแก้ไข

นอกจากที่รัฐบาลจะเป็นเซลล์แมนแล้วจะต้องปิดการขายให้ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาประเทศไทยมีจีดีพีเติบโตเฉลี่ย 2% ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพและไม่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น ในระยะกลางและระยะยาว เป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องวางกลยุทธ์สำหรับประเทศ เพื่อทำให้จีดีพีของไทยเติบโตไม่ต่ำกว่า 3-5% ต่อปี