‘แพทองธาร’ เรียก ‘เอกชน 3 สถาบัน’ หารือแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ

‘แพทองธาร’ เรียก ‘เอกชน 3 สถาบัน’ หารือแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศ

นายกฯ "แพทองธาร" เตรียมหารือ "ส.อ.ท.- หอการค้า - สมาคมแบงก์" ร่วมแก้วิกฤติเศรษฐกิจ - เคลื่อนนโยบายประเทศ พรุ่งนี้!

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรุ่งนี้ (23 ส.ค.2567) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.),  สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย จะเข้าหารือกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ และการขับเคลื่อนนโยบายร่วมกันที่ อาคารชินวัตร 3 โดยเวลา 10.00 น. จะเป็นการหารือระหว่าง ประธานหอการค้าไทย และคณะกรรมการฯ 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้ขอเข้าพบกับนางสาวแพทองธาร เพื่อร่วมหารือถึงแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดย ส.อ.ท. พร้อมคณะกรรมการบริหารฯ จะเริ่มหารือในเวลา 11.00 น.

สำหรับ สิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการคือ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเร่งด่วน ซึ่งส.อ.ท. ได้เน้นย้ำเสมอ และไม่เปลี่ยนจากเดิม คือ

1.) นโยบายช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะขีดความสามารถทางการแข่งขันโดยหลักๆ มาจากต้นทุนที่สูงขึ้นในทุกอย่าง ทั้งวัตถุดิบ ราคาพลังงาน ค่าไฟ และน้ำมัน รวมถึงค่าแรงที่กำลังจะปรับขึ้น 400 บาททั่วประเทศ วันที่ 1 ต.ค.2567 นี้ สิ่งเหล่านี้ ก็หวังว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรให้ต้นทุนเหล่านี้ต่ำลง และสามารถแข่งขันได้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งในระบบ และนอกระบบที่ยังคงสูงมาก

2.) เงินทุน ปัจจุบันเอสเอ็มอีกำลังขาดออกซิเจนคือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขณะนี้ ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ หลายธนาคารได้ประกาศลดเป้าหมายของการปล่อยสินเชื่อ และมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเม็ดเงินที่จะปล่อยได้ถูกจำกัด และลดลงไปอีก ดังนั้น ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่มหาศาล รัฐบาลต้องหาเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเติมเงินเข้าไปให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงแหล่งเงิน ที่นอกจากธนาคารพาณิชย์แล้วจะต้องมีกลไกอื่นมาเติมให้สู้ต่อไปได้

3.) สินค้าราคาถูกต่างประเทศเข้ามาแย่งตลาด ขณะนี้ที่ทราบว่าสินค้าราคาถูกได้ทะลักมาทุกทิศทุกทาง จนท่วมตลาดทั้งในไทย และภูมิภาค ส่งผลให้เอสเอ็มอีไทยแข่งขันไม่ได้ จนต้องปิดกิจการมากมาย เหมือนช่วง 6 เดือน ม.ค.- พ.ค.2567 ปิดกิจการกว่า 667 แห่ง เป็นขนาดมูลค่ากิจการที่ 20 ล้านบาท เป็นกิจการของคนไทยเกือบ 100% ในขณะที่ โรงงานที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ขอการสนับสนุนจาก BOI และส่วนใหญ่เป็นต่างชาติเกือบทั้งหมดที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 140 ล้านบาท

ดังนั้น มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจะป้องกันต้องดีพอ และตรวจขันตั้งแต่การนำเข้า มีการตรวจสอบ 100% ทำตามกฎเกณฑ์ที่อยู่ในขอบเขต และต้องทำอย่างเต็มที่ จะต้องระมัดระวังไม่ใช่ไปจ้องทะเลาะ ทำตามมาตรฐานสากลทั่วโลกที่มีเกณฑ์อยู่แล้ว เหมือนเวลาที่ประเทศไทยส่งสินค้าจากไทยไปจีน ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นที่เข้าตรวจในตู้คอนเทนเนอร์ของทางเข้าที่ทั่วโลกยอมรับ ซึ่งไทยตรวจต่ำกว่ามาตรฐานมาก

"ต้องยอมรับว่าสินค้าที่เข้ามาในไทยมีมาแทบจะทุกทิศทุกทาง ดังนั้น การสกัดสินค้าด้อยคุณภาพเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลโดยนายเศรษฐา ทวีสิน ได้เร่งดำเนินการก่อนจะถูกตัดสินให้พ้นเก้าอี้นายกฯ โดยเรียกกระทรวง และหน่วยงานต่างๆ ที่กำกับดูแล ให้เร่งแก้ปัญหา หวังว่ารัฐบาลจะทำต่อ และต้องรีบเร่งกว่าเดิม

นายเกรียงไกร กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาระยะกลาง และยาวมีหลายเรื่องที่ต้องทำ อาทิ การศึกษา ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม แก้กฎหมายเพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น และการสร้างบุคลากร ที่ต้องเดินต่อ เพราะที่ผ่านมาช้าเกินไปแล้ว

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์