เปิดนโยบายรัฐบาลเร่ง New Growth Engine ดันไทยพ้นกับดัก 'รายได้ปานกลาง'

เปิดนโยบายรัฐบาลเร่ง New Growth Engine ดันไทยพ้นกับดัก 'รายได้ปานกลาง'

รัฐบาล “แพทองธาร” เร่งสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ดันไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ต่อยอด “อีวี - เซมิคอนดักเตอร์” สู่ศูนย์กลางการเงินโลก สร้างอุตสาหกรรมสีเขียว เร่งเมกะโปรเจกต์คมนาคม คุมจัดสรรคลื่นความถี่ - วงโคจรดาวเทียมดันเศรษฐกิจ ชี้ไม่ทำอะไรจีดีพีจะโตต่ำกว่า 3%

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษวันที่ 7 ก.ย.2567 เพื่อหารือร่างนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 12 ก.ย.2567

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอให้รัฐมนตรีเตรียมชี้แจงตอบคำถามในประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งช่วยกันสื่อสาร และขยายผลนโยบายในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้าราชการ และประชาชนเข้าใจนโยบายรัฐบาลมากขึ้น

สำหรับร่างนโยบายรัฐบาลกำหนดนโยบายเร่งด่วนที่ดำเนินการทันที 10 นโยบาย เช่น การแก้ปัญหาหนี้ครบวงจร การลดราคาพลังงานเพื่อลดค่าครองชีพ การแก้ปัญหายาเสพติด

ขณะที่การขับเคลื่อนนโยบายระยะกลาง และระยะยาวมีแผนที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ (Industry Transformation) และพัฒนาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ (New Growth Engine) ที่จะปูพื้นฐานให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เพื่อเร่งให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางโดยเร็ว

สำหรับการสร้าง New Growth Engine จะเริ่มจากการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม โดยรัฐบาลส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต (HEV , PHEV , BEV และ FCEV) โดยเร่งดึงนักลงทุนจากต่างประเทศมาตั้งฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในไทยด้วยแนวทางที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ

รวมทั้งจะส่งเสริมโอกาสอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy or Eco-friendly Economy) ที่อาศัยจุดแข็งของที่ตั้งใกล้เส้นศูนย์สูตรเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอดทั้งปี สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาด รวมถึงต่อยอดเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เช่น การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การผลิตฮาร์ดดิสก์ ให้เป็นอุตสาหกรรมดิจิทัลสมัยใหม่ จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศตั้ง Data Center และโรงงานผลิตชิป และชิปดีไซน์ และผลิต Semiconductor

นอกจากนี้ จะพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and Wellness Economy) และบริการทางการแพทย์ (Medical Hub) โดยอาศัยพื้นฐานการบริการของคนไทยที่ได้รับการยอมรับเพื่อต่อยอดจากธุรกิจการท่องเที่ยว เชิงสุขภาพ และการแพทย์แผนไทยที่เป็นจุดแข็ง เพื่อรองรับความต้องการด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น

ดันไทยขึ้นศูนย์กลางการเงินโลก

รัฐบาลมุ่งสู่เป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินของโลก (Financial Hub) โดยรัฐบาลจะผลักดันการยกร่างกฎหมายชุดใหม่ที่มีความเป็นสากล โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ 

รวมทั้งออกแบบสิทธิประโยชน์ที่จูงใจนักลงทุน และพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงิน โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน ที่ทันสมัยให้สอดรับกับความต้องการของบริษัทด้านการเงินระดับโลก

นอกจากนี้รัฐบาลจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายโอกาส โดยรัฐบาลจะเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ (Mega Projects) อย่างต่อเนื่องทั้งทางราง ทางน้ำ ทางถนน และทางอากาศอย่างไร้รอยต่อ ส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยทางถนน ลดต้นทุน ระบบโลจิสติกส์ พัฒนาระบบขนส่งควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) 

สร้างรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูงควบคู่กับการพัฒนาเมืองที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ เพื่อให้เกิดการกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจ ยกระดับท่าเรือเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า 

พัฒนาสนามบิน และเส้นทางการบินใหม่ เช่น สนามบินล้านนา สนามบินอันดามัน เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการบิน (Aviation Hub) เพิ่มประตูบานใหม่ (Gateway) รองรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ขับเคลื่อนโครงการ Landbridge โดยเฉพาะด้านการลงทุน โดยเอกชน เพื่อให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และขนส่งของภูมิภาค (Logistics Hub)

คุมจัดสรรคลื่นความถี่ และวงโคจรดาวเทียม

รัฐบาลจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยกำกับดูแลให้เกิดการจัดสรรคลื่นความถี่ และสิทธิในวงโคจรดาวเทียมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุม เพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่ และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ และสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม 

ตลอดจนสร้างระบบนิเวศเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ของโลกลงทุนในอุตสาหกรรมที่จะเอื้อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมดิจิทัล ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ห่วงเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่า 3%

รวมทั้งในช่วงท้ายของร่างนโยบายได้ระบุถึงการบริหารงานของรัฐบาลจะเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ซึ่งเป็นปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่สั่งสมต่อเนื่องมากว่า 10 ปีและถูกซ้ำเติมด้วยโควิด-19 ทำให้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศอยู่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ หากไร้มาตรการทางการเงิน และการคลังที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ คาดว่าประเทศจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับไม่เกิน 3% ซึ่งจะส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศใกล้เต็มเพดานที่ 70% ของ GDP ในปี 2570 จึงเป็นความท้าทายที่รัฐบาลจะต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาเติบโตอย่างเข้มแข็งอีกครั้งโดยเร็ว 

 โดยการแสวงหาโอกาสใหม่ที่จะเพิ่มรายได้ทั้งในระดับประเทศ และระดับปัจเจกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การพัฒนาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ การยกระดับ ภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ รวมถึงการเร่งบริหารทรัพย์สินของรัฐให้ได้ประโยชน์สูงสุด 

รวมทั้งการดำเนินการดังกล่าวจะกลายเป็นเม็ดเงินกลับเข้าสู่ระบบภาษี และจะกลายเป็นศักยภาพทางนโยบายการคลัง (Fiscal Space) ที่เพียงพอสำหรับการเป็นแกนหลักในการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคต

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์