สทนช. สั่งจับตาฝนส่งท้าย คาดพายุอีกระลอกปลายเดือน ก.ย.

สทนช. สั่งจับตาฝนส่งท้าย คาดพายุอีกระลอกปลายเดือน ก.ย.

สทนช. กำชับหน่วยงานเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำเป็นรายวัน คาดปลาย ก.ย. จะมีฝนตกเพิ่มจากอิทธิพลพายุช่วง ปลายเดือน ก.ย. จับมือทุกหน่วยเร่งบริหารมวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนไหลสู่อ่าวไทย พัฒนาการแจ้งเตือนภัยให้ครอบคลุมและเข้าถึงประชาชน

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำประจำสัปดาห์ ว่า  ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจากอิทธิพลของพายุ “ซูริค” ประกอบกับเกิดร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและกระจายทั่วในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดสถานการณ์อุทกภัยทั่วประเทศ จำนวน 22 จังหวัด โดยหลายพื้นที่รัฐบาลได้เข้าช่วยเหลือฟื้นฟูกลับสู่สถานการณ์ปกติแล้ว และยังมีพื้นที่ประสบอุทกภัยอยู่อีก 14 จังหวัด 22,275 ครัวเรือน

สทนช. สั่งจับตาฝนส่งท้าย คาดพายุอีกระลอกปลายเดือน ก.ย.

 

โดยเป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ  9 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย (อ.แม่สาย เมืองเชียงราย และเวียงป่าเป้า) เชียงใหม่ (อ.แม่ริม และเมืองฯ) น่าน (อ.นาน้อย นาหมื่น และเวียงสา) ลำปาง (อ.งาว เมืองฯ เกาะคา ห้างฉัตร แม่พริก สบปราบ เถิน แม่เมาะ วังเหนือ แม่ทะ และแจ้ห่ม) ลำพูน (อ.เมือง ป่าซาง บ้านธิ ทุ่งหัวช้าง และแม่ทา) แพร่ (อ.ลอง และวังชิ้น) สุโขทัย (อ.ศรีสำโรง)

สทนช. สั่งจับตาฝนส่งท้าย คาดพายุอีกระลอกปลายเดือน ก.ย.

พิษณุโลก (อ.พรหมพิราม บางระกำ และเมืองพิษณุโลก) และเพชรบูรณ์ (อ.ชนแดน) ซึ่ง สทนช. ได้มีการจัดทำข้อมูลสถานการณ์น้ำในพื้นที่และการคาดการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำต่างๆ เป็นรายวัน รายงานต่อศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.)

ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน เพื่อใช้บริหารจัดการสถานการณ์ในภาพรวมต่อไป

 ในการประชุมวันนี้ได้มีการคาดการณ์และเฝ้าระวังฝนที่จะตกลงมาเพิ่มอีก เนื่องจากพบการก่อตัวของพายุในบริเวณหมู่เกาะฟิลิปปินส์คาดว่าจะเคลื่อนตัวไปยังเกาะไต้หวัน ถึงแม้ว่าพายุจะไม่เข้าประเทศไทยโดยตรง แต่อาจส่งผลให้ในช่วงวันที่ 30 ก.ย. – 1 ต.ค. 67 เกิดฝนตกในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน

สทนช. สั่งจับตาฝนส่งท้าย คาดพายุอีกระลอกปลายเดือน ก.ย.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการประชุมศูนย์อำนวยการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ภาคเหนือ (ลุ่มน้ำยมน่าน) พื้นที่ภาคกลาง และพื้นที่ภาคตะวันออก หน่วยงานทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ได้วางแผนเตรียมความพร้อมในเรื่องต่างๆ แล้ว ได้แก่ เพิ่มประสิทธิภาพการคาดการณ์ฝนล่วงหน้าให้มีความแม่นยำมากที่สุด การประเมินปริมาณน้ำในพื้นที่หน่วงน้ำ เช่น

ทุ่งบางระกำ ทุ่งโพธิ์พระยา เพื่อเตรียมรองรับน้ำฝนที่ตกมาเพิ่ม เร่งซ่อมแซมอาคารชลศาสตร์ เครื่องจักรเครื่องมือ และคันกั้นน้ำที่พังทลายในช่วงที่ผ่านมา เฝ้าระวังและบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 80% ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเกิดผลกระทบประชาชนน้อยที่สุด เร่งระบายน้ำในแม่น้ำต่างๆ รวมถึงเตรียมความพร้อมในพื้นที่ริมแม่น้ำ

ทบทวนเกณฑ์การแจ้งเตือนสถานี Early-Warning บริเวณที่มีความลาดชันสูงให้มีความรัดกุมและทันต่อสถานการณ์ ทำความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์เส้นทางสัญจรที่ถูกน้ำท่วม ให้มีระบบแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เปราะบางตามริมแม่น้ำโดยเฉพาะในพื้นที่ที่เคยได้รับผลกระทบและยังไม่ได้ซ่อมแซมคันกั้นน้ำ

สำหรับสถานการณ์น้ำในช่วงสัปดาห์นี้ (17 – 25 ก.ย.67) ปริมาณฝนสะสมทั่วประเทศเริ่มสูงกว่าค่าปกติ 2% ฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา พบว่ามีปริมาณฝนสะสมสูงสุดที่ภาคเหนือ จ.แพร่ (อ.วังชิ้น) (342 มม.) รองลงมาได้แก่ กรุงเทพมหานคร (267 มม.) ภูเก็ต (259 มม.) เลย (243 มม.) และตราด (237 มม.) แหล่งน้ำทั่วประเทศขณะนี้มีปริมาณน้ำ 70% มากกว่าปีที่แล้ว 7% ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพิ่ม 3137 ล้าน ลบ.ม โดยมีอ่างเก็บน้ำที่ต้องเฝ้าระวังน้ำมากในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ ภาคเหนือ (อ่างฯแม่งัดสมบูรณ์ชล แม่จาง และกิ่วลม)

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อ่างฯห้วยหลวง) ภาคตะวันออก (อ่างฯนฤบดินทรจินดา) และจากการคาดการณ์ฝนตกสะสมล่วงหน้า 3 วัน พบพื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัยบริเวณ ภาคเหนือ ได้แก่ อ.วังชิ้น จ.แพร่ อ.เมืองพะเยา จ.พะเยา และอ.นครไทย จ.พิษณุโลก สำหรับภาคตะวันออก ได้แก่ อ.บ่อไร่ จ.ตราด อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ส่วนภาคใต้ ได้แก่ อ.ธารโต และเบตง จ.ยะลา

“แม้จะมีการคาดการณ์ว่าปลายเดือน ก.ย.ปริมาณฝนจะเริ่มลดลง แต่ทุกหน่วยงานก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสภาพภูมิอากาศมีความแปรปรวนสูงมาก หลายพื้นที่ที่เพิ่งผ่านอุทกภัยช่วงที่ผ่านมาอยู่ระหว่างการฟื้นตัว และหลายพื้นที่ยังมีความชื้นในดินสูง หากมีฝนตกเพิ่มแม้มีปริมาณไม่มากแต่ก็จะส่งผลกระทบในพื้นที่ซ้ำได้ ในช่วงเวลานี้

ทุกหน่วยงานจึงต้องร่วมมือกันเร่งบริหารจัดการมวลน้ำจากภาคเหนือไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่าง โดยบริหารจัดการเป็นลุ่มน้ำเพื่อเก็บน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้เพียงพอในฤดูแล้งที่จะถึงนี้ และต้องระบายน้ำส่วนเกินลงสู่พื้นที่ตอนล่างโดยไม่กระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ในวันนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้เสนอปรับลดการระบายเขื่อนสิริกิติ์จากเดิม 20 ล้าน ลบม./วัน เป็น 15 ล้าน ลบม./วัน เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อท้ายน้ำ แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำที่อาจเกินความจุเก็บกักได้

ในขณะที่เขื่อนเจ้าพระยามีแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำเพื่อรองรับมวลน้ำจากภาคเหนือ โดยปรับการระบายน้ำระหว่าง 1,500 – 2,000 ลบ.ม./วินาที ทั้งนี้ ในการปรับแผนการระบายน้ำทุกครั้งจะต้องมีการแจ้งเตือนประชาชนได้ทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวรองรับได้ทันท่วงที” 

การประชุมครั้งนี้ร่วมด้วย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี การประปานครหลวง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งระเทศไทย เป็นต้น เข้าร่วมการประชุม ณ อาคารสำนักงาน สทนช. และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์