พาณิชย์ เคาะเป้าส่งออกปี 68 โต 2-3% มั่นใจรับมือ ทรัมป์ 2.0 ได้
“พิชัย” ถกภาคเอกชน เคาะเป้าส่งออกปี 68 โต 2-3% ทำงานเชิงรุก-ไร้รอยต่อ วาง 10 แผนขับเคลื่อนนโยบาย คว้าทุกโอกาสการค้า เผยข่าวดี ส่งออกปี 67 โตทะลุ 5% มูลค่าเกิน 3 แสนล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับภาคเอกชนในการผลักดันการส่งออกไทยปี 68 ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับภาคเอกชน และเห็นตรงกันว่า การส่งออกในปี 2568 จะยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้ตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะเติบโตที่ 2-3% โดยหากเติบโต 2% มูลค่า 305,315.6 ล้านดอลลาร์ และหากโต 3% มูลค่า 308,307.8 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในปี 67 คาดว่าจะส่งออกได้ประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% จากเป้าที่ตั้งไว้ 1-2% หรือเป็นเงินบาทประมาณ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ไทยมีการส่งออกมา
โดยที่ประชุมได้วางแนวทางขับเคลื่อนการส่งออกไว้ 10 นโยบาย ประกอบด้วย1.นโยบายผลักดันการส่งออกปี 2568 ให้เติบโตได้ 2-3% 2. เร่งปรับนโยบายให้สอดรับกับสถานการณ์การค้าและการลงทุนในปัจจุบัน 3.เร่งผลักดันให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเป็นบวก ต้องดันให้จีดีพีไทยโตขั้นต่ำ5% ต่อเนื่อง20ปี ประเทศไทยจึงจะหลุดพ้นจากประเทศยากจน 4.เร่งนโยบายการเจรจาเอฟทีเอกับทุกประเทศ 5.ส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิต และเป็นแหล่งซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมใหม่โดยเฉพาะอุตสาหกรรม PCB ,Data center เป็นต้น
6.รีแบรนด์โครงการThai SELECT เพื่อเพิ่มมูลค่าส่งออกสินค้าและบริการของไทย 7.จัดทำโครงการไทยแลนด์ แบรนด์ เพื่อการันตีสินค้าไทยช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย 8.ส่งเสริมนโยบายซอฟต์ เพาเวอร์ เพื่อดึงดูดคนทั่วโลกให้ใช้สินค้าไทย รวมทั้งเร่งส่งออกสินค้าGI
9. มอบให้ทูตพาณิชย์ในประเทศต่างๆ คิดริเริ่มสร้างสรรค์การทำการค้ารูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสส่งออกให้สินค้าไทย และ10.ส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทในการส่งออก80% ส่วนอีก20% เป็นหน้าที่ที่รัฐบาลต้องสนับสนุน โดยหลังจากนี้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์(กรอ.พาณิชย์)จะมีการนัดหารือ ร่วมกันทุก 3 เดือน เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์การส่งออกปีหน้าอย่างใกล้ชิด
นายพิชัย กล่าวว่า ส่วนแผนรับมือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกรณีนโยบายทรัมป์ 2.0 กระทรวงพาณิชย์ได้วางแผนทำงานเชิงรุกไว้แล้ว ทันทีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งในเดือน ม.ค.2568 เดือน ก.พ.2568 ซึ่งตนคิดว่าไม่น่าเป็นห่วง เพราะคิดว่ามีโอกาสสูงที่สินค้านำเข้าจากไทยจะไม่ถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า โดยในเดือนก.พ.2568 ตนพร้อมคณะจะเดินทางไปยังสหรัฐ เพื่อพบหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐ รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนและ สมาชิกวุฒิสภา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ ว่า เกิดจากไทยมีการส่งออกสินค้าสหรัฐที่มีฐานการผลิตในไทย ดังนั้นสหรัฐ ไม่ควรพิจารณาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย และหากสหรัฐ ขึ้นภาษีนำเข้าจากไทยอาจจะกระทบการลงทุนของสหรัฐ เชื่อว่า ไทยจะไม่โดนปรับขึ้นภาษี เมื่อเทียบกับคู่แข่ง อย่างจีน และเวียดนาม ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
ทั้งนี้ในระหว่างวันที่ 19-24 ธ.ค.ตนจะไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่ญี่ปุ่นมีแผนขยายการลงทุนอยู่แล้ว และจะผลักดันให้ญี่ปุ่น กลับมาเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่น่ากังวล คือ ค่าเงินบาท ที่ขณะนี้เริ่มกลับมาแข็งค่าอีกแล้ว และแข็งไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ค่าเงินอ่อนค่าหมด ยกเว้นไทย โดยอยากเห็นค่าเงินอยู่ที่ระดับ 36-37 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกได้มาก
“ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนมีความร่วมมือที่ดีกันมาโดยตลอด ทางเอกชนเสนอว่าควรมีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง เช่น ทุก 3 เดือน หรือถ้าฉุกเฉินก็สามารถคุยกันได้ทันทีเพื่อเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจไทยเติบโต เพราะเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยเอกชน กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่ส่งเสริมให้เอกชนทำให้การค้าการขายคล่องขึ้นส่งออกได้มากขึ้น” นายพิชัย กล่าว
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนทำให้ปีนี้การส่งออกไทยโตขึ้นถึง 5% ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้ และในปีหน้าคาดว่าการส่งออกไทยจะเติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีอุปสรรคแต่ก็เชื่อว่าจะเป็นโอกาสของไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และอาหาร ที่โลกต้องการมากขึ้น แต่เป็นห่วงเรื่องเซอร์ไพส์ ที่ยังอ่านไม่ออกว่าจะเป็นยังไง ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
นายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้ได้หารือกันกับกระทรวงพาณิชย์เกือบทุกเรื่อง มีการวางแผนป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งตัวเลขการส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์ และแผนงานด้าน FTA มีความคืบหน้าและมีเป้าหมายที่จะขยายเพิ่มเติม เป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับประเทศ
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกในปีนี้ถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประเทศสูงที่สุดในประวัติการณ์ทำได้ 3 แสนล้านดอลาร์ คิดเป็น เงินบาท 10 ล้านล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างไร้รอยต่อ ส่วนปี 2568 ที่ตั้งเป้าไว้ 2-3% มีโอกาสทำได้สูง เพราะกระทรวงพาณิชย์มีแผนทำงานร่วมกับภาคเอกชนชัดเจน จับต้องได้ สำหรับปัจจัยเสี่ยงจากสหรัฐฯ เท่าที่ฟัง มีการทำแผนรับมือความเสี่ยงไว้แล้ว และยังจะไปพบกับสหรัฐฯ ทันทีที่รัฐบาลใหม่เริ่มทำงาน ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมกับเร่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย