“เวียดนาม”เสี่ยงโดนหางเลขนโยบาย"ทรัมป์ 2 .0"

“เวียดนาม”เสี่ยงโดนหางเลขนโยบาย"ทรัมป์ 2 .0"

สคต. เมืองชิคาโก สหรัฐ เผย เวียดนามตกเป็นเป้าสงครามการค้ารอบ 2 หลังเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐเป็นอันดับที่ 4  เล็งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการ

KEY

POINTS

Key Point

  • 6 ปี เวียดนามรับอานิสงค์สงครามการค้ารอบแรก  เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย  8 % ต่อปี
  • เวียดนาม ได้ดุลการค้าสหรัฐเป็นอันดับ 4  
  • เวียดนามเองเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐเพ่งเล็งเป็นพิเศษที่จะใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ามาบังคับหลัง”โดนัลด์ ทรัมป์”คัมแบ็กเป็นประธานาธิบดี
  • เดือนพ.ย.ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปเวียดนามเพิ่มขึ้น

เว็ปไซต์สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครชิคาโก ประเทศสหรัฐ รายงานว่า การดำเนินนโยบายตอบโต้ทางการค้าจีนของสหรัฐฯ ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยแรก ได้สร้างโอกาสให้เวียดนามกลายเป็นประเทศผู้ผลิตที่ผู้ประกอบการในตลาดต่างให้ความสนใจย้ายฐานการผลิตสินค้าไปตั้งเพื่อรักษาความได้เปรียบทางด้านภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น บริษัท Apple Inc. บริษัท Nike Inc. และ บริษัท Gap Inc. เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วง 6 ปีที่สหรัฐฯ ดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้าจีน เศรษฐกิจเวียดนามได้รับอานิสงส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย  8 % ต่อปี โดยเฉพาะการขยายตัวของมูลค่าการลงทุนทางตรงระหว่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) และมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างมีนัยสำคัญ

ส่งผลให้ปัจจุบันสินค้าส่งออกจากเวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ สูงหลายรายการ เช่น รองเท้ากีฬาราวหนึ่งในสาม เตียงและโต๊ะกินข้าวไม้ราวครึ่งหนึ่ง และเซลล์และแผงผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ราวหนึ่งในสี่ของมูลค่าตลาดทั้งหมดในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากแนวนโยบายทางการค้าของ Mr. Jamieson Greer ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (U.S. Trade Representative) คนใหม่ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการที่เข้มงวดเพื่อยับยั้งสินค้าจีนที่ส่งออกผ่านประเทศที่ 3 เพื่อไปยังสหรัฐฯ (Third Country Workarounds) ซึ่งสินค้าเหล่านี้มักจะใช้วัตถุดิบการผลิตส่วนใหญ่จากจีน ผลิตโดยบริษัทลูกของจีนที่ไปตั้งฐานการผลิตในประเทศอื่นเพื่อหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าในอัตราสูง

ถึงแม้ว่าจะไม่มีการระบุชื่อประเทศก็ตามแต่ก็เชื่อได้ว่า นโยบายดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่เวียดนามและเม็กซิโก ที่ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจีนจำนวนมากขยายฐานการผลิตไปตั้งเพื่ออาศัยเป็นช่องทางในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ

ทั้งนี้ เวียดนามเองก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเพ่งเล็งเป็นพิเศษ และอาจจะนำมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ามาบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากเวียดนามทุกรายการ เพื่อกดดันให้เวียดนามให้ความร่วมมือสหรัฐฯ ในการลดมูลค่าการขาดดุลทางการค้า

โดยปัจจุบันเวียดนามมีมูลค่าการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ สูงกว่าการนำเข้าจากสหรัฐฯ ถึง 9 เท่า นับเป็นประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯ มีมูลค่าการขาดดุลทางการค้าสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 4 รองจากจีน เม็กซิโก และกลุ่มสหภาพยุโรป

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการในตลาดสนใจขยายฐานการผลิตไปตั้งที่เวียดนาม ได้แก่
1. ปัจจัยด้านระบบสาธารณูปโภค ที่พัฒนาเอื้ออำนวยต่อการดำเนินกิจการ
2. ปัจจัยด้านต้นทุนและค่าแรงที่ต่ำ โดยเวียดนามมีกำลังแรงงานฝีมือราคาถูกจำนวนมาก

3. ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ซึ่งติดกับจีนทำให้การขนส่งวัตถุดิบและชิ้นส่วนการผลิตจากจีนไปยังโรงงานผลิตต่างๆ ทำได้ง่ายด้วย และ
4. ปัจจัยด้านนโยบายการทูต แบบ “ไผ่ลู่ลม” (Bamboo Diplomacy) ที่สามารถเข้าได้กับทั้งจีนและสหรัฐฯ ปัจจัยดังกล่าวล้วนมีส่วนทำให้ผู้ประกอบการต่างสนใจขยายฐานการผลิตไปยังเวียดนามมากขึ้น

นับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เวียดนามมีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้นประมาณ 2.90 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นเงินลงทุนจากสิงค์โปร์ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ จีนและฮ่องกง 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เกาหลีใต้ 5.21 หมื่นล้านดอลลาร์ญี่ปุ่น 4.48 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนสหรัฐฯ มีมูลค่าเพียง 4.8 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น

โดยล่าสุดในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาภายหลังจากที่ทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีผู้ประกอบการสหรัฐฯ ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปเวียดนามเพิ่มขึ้น เช่น บริษัท Steve Madden Ltd. ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแฟชั่น และบริษัท Acushnet Co.  ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าลูกกอล์ฟและรองเท้ากอล์ฟ โดยตั้งเป้าจะเริ่มผลิตรองเท้าที่โรงงานในเวียดนามภายในสิ้นปี 2568

สคต.นครชิคาโก ให้ความเห็นว่า   สหรัฐฯ มีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศขาดดุลมาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายทศวรรษเนื่องจากเป็นประเทศที่มีความต้องการบริโภคสูง ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกโดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและค่าแรงงานต่ำ ทำให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องนำเข้าสินค้าและบริการเป็นมูลค่าสูง

ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ ต่างพยายามดำเนินมาตรการทางการค้าต่างๆ เพื่อลดมูลค่าการขาดดุลทางการค้ามาโดยตลอด ซึ่งมาตรการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้า (Tariffs) ที่เริ่มดำเนินมาตั้งแต่ปี 2561 ในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่ใช้ได้ผลสูงและน่าจะถูกนำมาใช้กดดันประเทศคู่ค้าในอนาคตอันใกล้นี้ตามที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศเอาไว้อย่างแน่นอน

โดยกลุ่มประเทศที่เป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินมาตรการดังกล่าวในขณะนี้ ได้แก่ จีน เม็กซิโก แคนาดา และประเทศในกลุ่ม BRICS

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในปี 2566 พบว่า จีนมีมูลค่าเกินดุลการค้าสหรัฐฯ สูงที่สุดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2.52 แสนล้านดอลลาร์ รองลงมา ได้แก่ เม็กซิโก มูลค่าทั้งสิ้น 1.62 แสนล้านดอลลาร์ กลุ่มสหภาพยุโรป  มูลค่าทั้งสิ้น 1.25 แสนล้านดอลลาร์ เวียดนาม มูลค่าทั้งสิ้น 1.03 แสนล้านดอลลาร์ และญี่ปุ่น มูลค่าทั้งสิ้น 6.62 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามลำดับ

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ อาจจะดำเนินมาตรการที่คล้ายคลึงกันเพื่อกดดันเวียดนามได้ในอนาคต โดยหากสหรัฐฯ พิจารณาดำเนินมาตรการดังกล่าวกับเวียดนามน่าจะส่งผลดีและสร้างโอกาสสำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทยในการดึงดูดผู้ประกอบการให้ย้ายฐานการผลิตไปตั้งในประเทศไทยที่มีความได้เปรียบทั้งในด้านสภาพแวดล้อมทางการค้า รวมถึงความพร้อมด้านวัตถุดิบการผลิตและแรงงานฝีมือในอนาคตเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐ