'อัครา' กระทุ้งรัฐบาลเร่งเคลียร์คดีอนุญาโตฯ หวังเดินหน้าธุรกิจเหมืองทอง

"อัครา" กระทุ้งรัฐบาลเร่งเคลียร์คดีอนุญาโตตุลาการ หวังเดินหน้าธุรกิจเหมืองทอง ทุ่มกว่า 2,600 ล้านบาท ยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักร โอ่จ่ายค่าภาคหลวงแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท หลังกลับมาเปิดไม่ถึง 2 ปี
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ หัวหน้าผู้จัดการทั่วไป บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำชาตรี กล่าวถึงบทบาทการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายหลังที่อัครากลับมาเปิดดำเนินการว่า อัคราได้ใช้งบประมาณกว่า 2,600 ล้านบาท ในการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักร และโรงประกอบโลหกรรมทั้ง 2 แห่ง
รวมถึงอาคารสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในเหมืองจนแล้วเสร็จในเดือนพ.ค. 2567 ส่งผลให้สามารถเดินกำลังการผลิตได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา อัคราผลิตแร่ทองคำได้ประมาณ 50,000 ออนซ์ และแร่เงินกว่า 530,000 ออนซ์ และตั้งเป้าการผลิตทองในปี 2568 ไว้ที่ 80,000 – 90,000 ออนซ์ จากนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มเป็น 95,000 – 120,000 ออนซ์ ในอีก 2-3 ปีต่อจากนี้
ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 22 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม 2566 จนถึงม.ค.2568 อัคราได้ชำระค่าภาคหลวงกว่า 1,000 ล้านบาท โดย 40% ของค่าภาคหลวงแร่จะถูกจัดสรรให้เป็นรายได้รัฐ อีก 50% ถูกจัดสรรให้แก่ชุมชนในพื้นที่ ที่บริษัทดำเนินการทำเหมือง โดยแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% องค์การบริหารส่วนตำบลที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% และองค์การบริหารส่วนตำบลภายในจังหวัดอีก 10%
และส่วนสุดท้ายอีก 10% ที่เหลือจะถูกจัดสรรให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพขององค์กรท้องถิ่นในการดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดงาน และโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่จำนวนมาก ในส่วนของเงินบำรุงพิเศษ 5% โดยคำนวณจากค่าภาคหลวงแร่ ให้กับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาวิจัยด้านแร่ ปรับสภาพพื้นที่ ที่ผ่านการทำเหมืองแล้ว
ทั้งนี้ ยังไม่รวมเงินที่อัคราต้องจัดสรรเข้ากองทุนจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนประกันความเสี่ยง ซึ่งบริษัทต้องนำเงินเข้ากองทุนในอัตรา 21% ของค่าภาคหลวงแร่ โดยต้องไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาทต่อปี แต่อัคราได้จัดสรรเงินเข้ากองทุนเหล่านี้ไปแล้วประมาณ 207 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้มาก
“แค่ค่าภาคหลวงที่อัคราจ่ายตั้งแต่กลับมาเปิดดำเนินการภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปีเต็ม ยังมีมูลค่านับพันล้าน ซึ่งยังไม่รวมตัวเลขด้านการจ้างงานทั้งของอัคราโดยตรง หรือในส่วนของผู้รับเหมา หรือบริษัทคู่ค้าอย่างพีเอ็มอาร์ และออสสิริส หากรัฐบาลให้การสนับสนุน อุตสาหกรรมกลางน้ำ และปลายน้ำ เชื่อว่าผลประโยชน์จะยิ่งทวีคูณ ในขณะเดียวกัน และหวังว่ารัฐบาลจะเร่งส่งทีมเจรจาคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศให้จบกลางปีนี้”
อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมพื้นฐานเป็นกิจการที่มีภาพลักษณ์ในเชิงลบเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมประเภทอื่น โดยคนส่วนใหญ่มองว่าอุตสาหกรรมนี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้กระแสสังคมมีความรู้สึกไม่ยอมรับ แต่ด้วยการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดผ่านมาตรการป้องกัน และแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ทางราชการกำหนด มีระบบตรวจสอบ และเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม และดูแลสุขภาพของคนในชุมชนที่มีประสิทธิภาพ และมีการศึกษาและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่น
นวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม บ่อกักเก็บกากแร่ที่มีระบบป้องกันการรั่วซึม ที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล การหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ซึ่งลดปริมาณการใช้น้ำถึง 307,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน นวัตกรรมการระเบิดที่ช่วยลดเสียง ลดฝุ่น เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติและชุมชนโดยรอบ เป็นต้น จึงมั่นใจได้ว่า การทำเหมืองดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพ.ย. บริษัทได้สั่งแคปซูลสำเร็จรูปปิดผนึก หรือที่เรียกว่า “ไอโซเทนเนอร์” (isotainer) มาติดตั้งเพื่อใช้ในกระบวนการประกอบโลหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการไซยาไนด์ ดังนี้
1. ลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารเคมีของพนักงานที่ปฏิบัติงาน
2. ควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์อย่างมีประสิทธิภาพ และ
3. ไม่มีขยะที่เป็นบรรจุภัณฑ์เหลือทิ้ง โดยการส่งแคปซูลที่ใช้แล้วกลับไปยังผู้ผลิต
สำหรับคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ อัคราคาดว่าจะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 4,100 ล้านบาทต่อปี ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การจ้างงานทั้งทางตรง และผ่านผู้รับเหมาในพื้นที่ประมาณ 1,000 คน และการชำระค่าภาคหลวงแร่ให้แก่รัฐ
นอกจากคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์ด้านสังคมที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ โดยอัครา และพันธมิตรมีการจ้างงานคนในพื้นที่กว่า 1,000 คน และตั้งเป้าให้ 90% เป็นคนในชุมชน เพื่อลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัว
นอกจากนี้ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของการประกอบกิจการ อัคราจัด “โครงการตรวจสุขภาพประจำปีให้แก่ชาวบ้านรอบเหมือง” ภายใต้แนวคิด ‘เหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชน’ ซึ่งได้ดำเนินการมาทุกปีอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่ โดยเปิดให้ชาวบ้านจาก 3 อำเภอ ในระยะรัศมี 5 กิโลเมตรรอบหมือง จำนวน 28 หมู่บ้าน หรือประมาณ 700 คน เข้าตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
ส่งผลให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพได้สะดวกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยให้ชาวบ้านมีข้อมูลสุขภาพของตนเอง และสามารถเฝ้าระวัง ป้องกัน พร้อมเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างทันท่วงทีซึ่งผลการตรวจสุขภาพเหล่านี้ เป็นฐานข้อมูลให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่นำไปใช้ต่อยอดในการดูแลประชาชนต่อไป ทั้งหมดนี้ส่งผลให้อัคราได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดี
"ทองคำยังเป็นส่วนหนึ่งในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยียังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเทรนด์การใช้พลังงานทางเลือกที่ส่งผลให้มีความต้องการโลหะมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากโลหะมีค่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของแบตเตอรี่หรือแผงโซลาเซลล์ ดังนั้น ทองคำ และโลหะมีค่ายังคงเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทั่วโลกต้องการ"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์