เลื่อนตัดสินคดีเหมืองทองอัคราอีก 1 ปี รัฐบาลไทยขาดประธานเจรจา

เลื่อนตัดสินคดีเหมืองทองอัคราอีก 1 ปี รัฐบาลไทยขาดประธานเจรจา

อนุญาโตตุลาการเลื่อนอ่านคำตัดสินคดี "เหมืองทองอัครา" ออกไปอีก 1 ปี จวกรัฐบาลไทยขาดประธานในการเดินหน้าเจรจา

KEY

POINTS

  • อนุญาโตตุลาการเลื่อนอ่านคำชี้ขาดคดีเหมืองทองอัคราออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่ต้องอ่านคำตัดสิน 30 ก.ย. 2567
  • จากปัญหารัฐบาลไทยไร้เสถียรภาพ รัฐบาลไม่มีการตั้งประธานเจรจาเพื่อเดินหน้าแก้ปัญหา จึงทำให้เกิดความล่าช้าของคดีด้วย
  • แม้เหมืองทองอัคราจะสามารถกลับมาเดินเครื่องกำลังผลิตทองคำประมาณปีละ 5.5 ล้านตันสินแร่ และสร้างงานสร้างเงินให้กับคนในพื้นที่ แต่ปิดเหมืองราว 6 ปี กระทบมูลค่าความเสียหายด้วย

 

ข้อพิพาทเหมืองทองอัครายังคงไม่สามารถเจรจาต่อกันได้ ล่าสุอนุญาโตตุลาการได้เลื่อนอ่านคำชี้ขาดออกไปอีก 1 ปี จากที่จะต้องมีการชี้ขาดเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา 

ปัญหาเหมืองทองอัครา ยังคงเป็นเข้อพิพาทที่รัฐบาลภายใต้นโยบายที่ "พรรครวมไทยสร้างชาติ" จะต้องเข้ามาแก้ปัญหา ภายหลัง บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กลับมาเปิดดำเนินการเหมืองทองอีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2566 จากข้อกังวลผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม

หากย้อนเวลาในช่วงปี 2557-2559 ปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพของกลุ่มประชากรจากประกอบกิจการเหมืองทองคำชาตรี จ.พิจิตรและ จ.พิษณุโลก ด้วยข้อกฎหมายที่ไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

โดยทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยรังสิต ได้รายงานผลการตรวจเลือดของชาวบ้าน 1,004 คน ที่อาศัยในเขตใกล้เหมืองปรากฏว่าพบสารแมงกานีสในร่างกายเกินเกณฑ์มาตรฐาน 41.83% และ สารไซยาไนต์ในร่างกายเกินมาตรฐาน 5.88%

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้แจ้งต่อ บริษัทแบร์ โดแบร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้เชี่ยวชาญการประเมินเหมืองทองคำมาตรวจสอบที่เหมืองชาตรีปรากฎว่าไม่พบไซยาไนต์รั่วไหลแต่อย่างใด

ความขัดแย้งในพื้นที่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น และเกิดการแบ่งแยกฝ่ายชาวบ้านที่สนับสนุนเหมืองทองและต้องการให้ยุติกิจการ ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่งที่ 72/2559 เมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 2559 ให้ปิดเหมืองทองคำชาตรี จ.พิจิตร ของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) 

พร้อมสั่งห้ามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่ออายุประทานบัตรและใบอนุญาต และให้ระงับการประกอบกิจการตั้งแต่ 1 ม.ค. 2560 เป็นต้นไป โดยผู้ประกอบการต้องฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ตามที่กำหนดไว้ในรายการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จำกัด ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) มีการพยายามเจรจากับรัฐบาลไทยแต่ไม่ได้ข้อยุติ จึงตัดสินใจส่งจดหมายแจ้งรัฐบาลขอใช้สิทธิ์หารือ (Consultation Process) ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) 

ต่อมา คิงส์เกตฯ ได้ส่งจดหมายถึงรัฐบาลไทย เรื่องการเข้าสู่พิธีการอนุญาโตตุลาการ ภายใต้ TAFTA เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2560 รัฐบาลไทยจึงได้มีการตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อต่อสู้กรณีพิพาทเหมืองทองอัคราในคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมมลพิษ พร้อมองค์การบริหารส่วนตำบลเขาเจ็ดลูก ได้ตรวจสอบผลกระทบของเหมืองทองกับสิ่งแวดล้อม ได้แถลงผลตรวจสอบว่าไม่พบไซยาไนด์ในนาข้าว 

นอกจากนี้ คณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบข้อเท็จจริงการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 มีการพิจารณาร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ โดยมีมติให้เขียนใบปะหน้าว่า เป็นความเห็นของผู้วิจัยที่ยังมีข้อโต้แย้งจากคณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญอีกหลายท่าน โดยให้แนบข้อโต้แย้งในภาคผนวก และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงาน

ในขณะที่อัคราฯ ก็ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชน โดยเห็นแย้งรายงานดังกล่าว เนื่องจากพบข้อขัดแย้งทางวิชาการมากมายจากผลที่คณะผู้วิจัยได้เปิดเผย รวมถึงความไม่เหมาะสมของเครื่องมือและเทคนิคในการตรวจสอบ และการแปลผลอย่างมีอคติ เป็นต้น

ในปี 2562 คิงส์เกตฯ ได้แจ้ง ก.ล.ต. ออสเตรเลีย ว่า กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างรัฐบาลไทยและคิงส์เกต นัดแรกที่ฮ่องกง ต้องเลื่อนออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 18-29 พ.ย. เนื่องจากเหตุความวุ่นวายทางการเมือง

และในปี 2564 คิงส์เกตฯ ได้เปิดเผยว่า การเจรจากับรัฐบาลไทยเพื่อระงับข้อพิพาทเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว แต่บริษัทและรัฐบาลไทย ร่วมกันขอให้คณะอนุญาโตตุลาการชะลอการอ่านคำวินิจฉัยออกไปจนถึง 31 ต.ค. 2564 

อย่างไรก็ตาม วันที่ 27 ต.ค. 2564 คิงส์เกตฯ ได้ออกแถลงการณ์ว่า การเจรจากับรัฐบาลไทยยังไม่สิ้นสุด ทั้งสองฝ่ายจึงขอให้คณะอนุญาโตตุลาการเลื่อนคำตัดสินข้อพิพาทไปเป็นวันนที่ 31 ม.ค. 2565 และมีการเลื่อนคณะอนุญาโตตุลาการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสิน วันที่ 30 มิ.ย. 2567 และก็ได้เลื่อนการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินออกไปอีก 3 เดือน หรือวันที่ 30 ก.ย. 2567 อีกครั้ง 

สำหรับการเข้าสู่พิธีการอนุญาโตตุลาการ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2560 ทำให้รัฐบาลไทยได้มีการตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อต่อสู้กรณีพิพาทเหมืองทองอัคราในคณะอนุญาโตตุลาการ

ซึ่งตั้งแต่การเจรจาตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมา มีการเลื่อนอ่านคำชี้ขาดมาตลอด จนล่าสุดถึงวันนัดอ่านคำชี้ขาดสิ้นเดือนก.ย. 2567 ที่ผ่านมา แต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้ตกลงที่จะเลื่อนการออกคำชี้ขาดไปอีก 1 ปี คือ สิ้นเดือนก.ย. 2568 

แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวกับ "กรุงเทพฯธุรกิจ" ว่า อีกสาเหตุที่ยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจา คือ รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ที่ยังไม่มีการตั้งตั้งประธานในการเจรจาตั้งแต่สมัยที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งโดยหลักการแล้วจะต้องแต่งตั้งให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน ในการเจรจา ก็ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้ง จึงทำให้ล่าช้า

ทั้งนี้ แม้ว่าตอนนี้เหมืองทองอัคราจะสามารถกลับมาเดินเครื่องกำลังผลิตทองคำประมาณปีละ 5.5 ล้านตันสินแร่ และสร้างงานสร้างเงินให้กับคนในพื้นที่ได้ก็ตาม แต่การที่ต้องปิดเหมืองไปราว 6 ปี ก็ยังไม่มีข้อสรุปถึงมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น

แหล่งข่าว กล่าวว่า หากเหมืองทองอัครากลับมาดำเนินการได้จะช่วยสร้างงานช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีการหมุนเวียน มีการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน ประเทศไทยก็จะได้เงินค่าภาคหลวง 10% จะส่งคืนประชาชนในพื้นที่ ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจากข้อมูลตั้งแต่ปี 2560 จ่ายค่าภาคหลวงให้ไทยสูงถึง 4,400 ล้านบาท