'เอเชีย-ยุโรป' ตอบโต้สหรัฐขึ้นภาษีรถ ไทยขอศึกษาผลกระทบผู้ผลิตชิ้นส่วน

“เอเชีย-ยุโรป” ตอบโต้มาตรการสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้ายานยนต์ ประเทศไทยขอศึกษาผลกระทบโดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วน
KEY
POINTS
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเก็บภาษีนำ
เมื่อวันพุธตามเวลาในสหรัฐ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงที่ทำเนียบขาวว่าจะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% สำหรับ “รถยนต์ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐ” มีผลบังคับใช้วันที่ 2 เม.ย.และเริ่มเก็บภาษีวันที่ 3 เม.ย.นี้ ขณะที่สื่อหลายสำนักรายงานว่าจะมีผลตั้งแต่เวลา 00.01 น.วันที่ 3 เม.ย.ตามเวลาสหรัฐ หรือเที่ยงวันตามเวลาไทย
วิลล์ ชาร์ฟ ที่ปรึกษาทำเนียบขาวของทรัมป์ระบุว่า อัตราภาษีใหม่นี้มีผลบังคับใช้กับรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กที่ผลิตในต่างประเทศ โดยคาดว่าภาษีดังกล่าวจะสร้างรายได้ใหม่ประจำปีมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 3.4 ล้านล้านบาทให้กับสหรัฐ
ทั้งนี้ อัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.5%
มาตรการล่าสุดนี้มีขึ้นก่อนที่ทรัมป์จะประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งจะมุ่งเป้าไปยังประเทศต่างๆ ที่เรียกเก็บสินค้านำเข้าจากสหรัฐ โดยทรัมป์เรียกวันดังกล่าวว่าเป็น “วันแห่งการปลดแอก” ที่สหรัฐถูกเอาเปรียบโดยประเทศพันธมิตรและคู่แข่งมาเป็นเวลาหลายปี
“รัฐบาลเกาหลีใต้” เตรียมประกาศแผนฉุกเฉินภายในเดือน เม.ย.นี้ เพื่อรับมือมาตรการภาษี และจะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับรัฐบาลวอชิงตัน เพื่อเจรจาหาทางลดผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ของเกาหลีใต้
รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ อัน ดุก-กึน คาดว่าภาคส่วนยานยนต์ของเกาหลีใต้จะเผชิญกับ “ความยากลำบากอย่างมาก” เมื่อภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐเริ่มมีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม “ซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์” ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐพบว่าในปี 2567 สหรัฐนำเข้ารถยนต์จากเกาหลีใต้มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกในแง่มูลค่า อยู่ที่ 3.66 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.25 ล้านล้านบาท) คิดเป็นจำนวน 1.535 ล้านคัน ส่วนข้อมูลจากเกาหลีใต้ระบุว่าการส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐนั้นคิดเป็นสัดส่วนถึง 49% ของการส่งออกรถยนต์ไปต่างประเทศทั้งหมด
นายกรัฐมนตรีชิเกรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น แถลงต่อรัฐสภาว่า เตรียม “ทุกทางเลือก” ในการรับมือภาษีรถยนต์สหรัฐ โดยจะนำทุกทางเลือกมาพิจารณาเจรจารับมือและยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจจะใช้ “มาตรการตอบโต้”
“ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ลงทุนกับสหรัฐมากสุด ดังนั้นจึงสงสัยว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ที่สหรัฐเก็บภาษีแบบเดียวกันกับทุกประเทศ เป็นประเด็นที่เราพูดถึงมาตลอดและจะยังคงทำต่อไป” อิชิบะกล่าวต่อรัฐสภาในกรุงโตเกียว
“เราจำเป็นต้องพิจารณาว่าอะไรคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผลประโยชน์ชาติของญี่ปุ่น เรากำลังนำทุกทางเลือกมาพิจารณาในการตอบสนองที่มีประสิทธิผลที่สุด” อิชิบะกล่าว แต่ไม่ได้ระบุถึงขั้นตอนความเป็นไปได้ที่โตเกียวอาจดำเนินการต่อ
บรรดานักวิเคราะห์ระบุว่า ภาษีตัวนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐ โดยรถยนต์คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 28.3% ของการส่งออกทั้งหมดของญี่ปุ่นไปยังสหรัฐในปี 2567
มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีของ “แคนาดา” ประกาศว่าจะตอบโต้มาตรการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐ โดยระบุว่าการเคลื่อนไหวของทรัมป์เป็น “การโจมตีโดยตรง” และจะประชุมคณะรัฐมนตรีทันทีในวันเดียวกันเพื่อตัดสินมาตรการรับมือ
เป็นที่คาดว่าภาษีดังกล่าวจะสร้างความเสียหายอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ภาคพื้นอเมริกาเหนือที่มีการบูรณาการร่วมกันในระดับสูง โดยในปี 2567 สหรัฐนำเข้ารถยนต์จากแคนาดามากที่สุดเป็นอันดับ 4 มูลค่า 3.12 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.05 ล้านล้านบาท) หรือราว 1.065 ล้านคัน
ที่ผ่านมาแคนาดาได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีตอบโต้สหรัฐไปแล้วเป็นมูลค่ารวม 1.55 แสนล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็น 2 ระลอก เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้า 25% กับแคนาดาก่อน
เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เตือนว่าสหภาพยุโรป (อียู) จะปกป้องผลประโยชน์เศรษฐกิจของตน ขณะเดียวกันก็จะแสวงหาทางออกทางการทูตต่อไป โดยอียูจะประเมินการประกาศล่าสุดนี้ ร่วมกับมาตรการอื่นๆ ที่สหรัฐคาดว่าจะนำมาใช้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งส่งสัญญาณว่าอียูอาจจะรอให้สหรัฐประกาศเรื่องการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ในวันที่ 2 เม.ย. นี้ออกมาก่อน จึงค่อยประเมินและออกมาตรการหลังจากนั้นพร้อมกัน
ด้านโรเบิร์ต ฮาเบ็ค รัฐมนตรีเศรษฐกิจของ “เยอรมนี” เรียกร้องให้สหภาพยุโรป “ตอบสนองอย่างเด็ดขาด” ต่อมาตรการภาษีรถยนต์ล่าสุดของทรัมป์ โดยกล่าวว่าในท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่อสหรัฐและสหภาพยุโรป รวมถึงการค้าโลกโดยรวม และย้ำว่าการเคลื่อนไหวของสหรัฐเป็น “สัญญาณอันตราย” ต่อการค้าตามกฎเกณฑ์และเสรี
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าในการเจรจากับสหรัฐว่า รัฐบาลโฟกัสวันที่ 2 เม.ย.ว่าสหรัฐจะประกาศรายชื่อประเทศใดและมีเรื่องใดกระทบไทย โดยระยะสั้นให้ความสำคัญกับภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งจะกระทบไทยก่อนในระยะสั้น ส่วนสินค้าอย่างอื่นต้องดูผลกระทบต่อไป
“วันนี้ที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีรถยนต์ ซึ่งเราต้องมาดูสินค้าชิ้นส่วนรถยนต์ ส่วนตัวอื่นๆ ต้องดูแต่ละเรื่องกระทบไทยอย่างไร กังวลเกินไปหรือเปล่า เพราะทรัมป์ต้องการให้เกิดการผลิตรถยนต์ในประเทศ หากมากีดกันไม่ให้ส่งไปจะกระทบสหรัฐอย่างไร”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากการที่ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% จากทุกประเทศ นั้น ส.อ.ท. มองว่า ทรัมป์ได้ให้ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และต้องการรักษาฐานการผลิตในสหรัฐ และต้องการที่จะดึงให้มาลงทุนเพิ่ม
ดังนั้น การขึ้นภาษีเจาะจงเฉพาะรถยนต์จึงเกิดขึ้นตามมาซึ่งจะมีผลวันที่ 2 เม.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม ประเทศแรกที่จะกระทบหนักสุดที่เป็นผู้ส่งออกหลัก คือ ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน จีน เป็นต้น
ส่วนผลกระทบยอดส่งออกของไทยอยู่อันดับ 16 ของประเทศที่ส่งรถยนต์เข้าสหรัฐ มีสัดส่วนน้อยแค่ 0.2% แต่แน่นอนจะกระทบต่อการส่งออกบ้างโดย 2 เดือนแรกของปี 2568 ยอดส่งออกลดลงกว่า 10% ถือเป็นข่าวลบที่จะซ้ำเติมเพิ่มเติมอีก
“รัฐบาลต้องเตรียมรับเพราะนโยบายทรัมป์เมื่อขึ้นภาษีแล้วก็ให้แต่ละประเทศมาเจรจาต่อรอง เรายังยืนยันให้ตั้งวอร์รูมกับรัฐบาล เพราะเป็นความก้าวหน้าแนวทางต่อรองของทรัมป์ตามที่คาดการณ์ไว้ทุกประการ”
นายสุพจน์ สุขพิศาล เลขาธิการ Cluster of FTI Future Mobility-ONE และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า สำหรับ Trump effect ดังกล่าว ต้องบอกว่าประเทศไทยส่งรถยนต์ไปสหรัฐน้อยมาก เพราะตลาดรถคนละ Model กัน ซึ่งมีส่งออกเฉพาะมอเตอร์ไซค์ ที่มีค่ายของสหรัฐเข้ามาตั้งโรงงานประกอบในไทยเท่านั้น
ขณะที่ชิ้นส่วนฯ ที่ไทยส่งไปสหรัฐโดยตรงจะมียางรถยนต์เป็นหลัก ซึ่งมีค่ายจีนที่มาตั้งโรงงานในไทยหลายโรงงาน แล้วส่งออกไป ตรงนี้จึงไม่ค่อยเกี่ยวกับไทยเท่าไหร่ ในขณะที่ ชิ้นส่วนอื่นเป็นสัดส่วนเล็กน้อยแต่ผลกระทบเกิดกับชิ้นส่วนที่ไทยส่งไปเม็กซิโกเท่านั้น เพราะที่เม็กซิโกนำไปประกอบรถก่อนจะส่งเข้าสหรัฐอีกที ซึ่งมีหลายรายได้รับผลกระทบ