สหรัฐอเมริกาจะจำกัดเงินทุนไหลไปจีน?
เมื่อประมาณปลายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีข่าวว่ารัฐบาลของประธานธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณาวิถีทางที่จะจำกัดเงินทุนของนักลงทุนจากสหรัฐไปจีน
ที่อยู่ในรูปของการลงทุนในตราสารทางการเงิน โดยคาดการณ์กันว่าขนาดของผลกระทบจะมหาศาล เท่าที่พิจารณากันอยู่นั้น ทางเลือกเป็นได้หลายทาง ตั้งแต่การปลดบริษัทจีนออกจากการจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา ไปจนกระทั่งการจำกัดไม่ให้ชาวอเมริกันมี exposure ต่อตลาดจีนโดยผ่านกองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาล
ในขณะเดียวกัน ปี 2019 เป็นเวลาที่จีนกำลังลดข้อจำกัดต่อการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนในจีน ตามที่บริษัทผู้ประกอบการสหรัฐได้เรียกร้องมาเป็นระยะเวลานานนับสิบปีและกระทุ้งให้จีนเปิดกว้างมาโดยตลอด รัฐบาลจีนกำลังจะขยับเพดานเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศซึ่งอยู่ที่ 150,000 ล้านเหรียญในปัจจุบันให้เป็น 2 เท่าและยกเลิกข้อกำหนดการถือหุ้นชาวต่างประเทศของบริษัทการลงทุนต่างประเทศที่ดำเนินงานในจีน
กล่าวกันว่า ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งไม่พอใจกับการที่บริษัทธุรกิจของจีนนับร้อยถูกนำเข้าสู่ดัชนี MSCI และกองทุนบำเหน็จบำนาญต่างๆ Barclays เองก็เพิ่มพันธบัตรจีนเข้าไปใน Global Aggregate Bond Index ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา หลายๆ คนมีความรู้สึกว่าบริษัทธุรกิจจีนได้จดทะเบียนในตลาดหุ้นในสหรัฐจำนวนมาก
ที่จริงแล้วเหตุการณ์ข้างต้นมีจุดเริ่มมาจากวุฒิสมาชิก Marco Rubio ที่ไม่พอใจบริษัทธุรกิจของจีนที่ไม่ยอมให้ SEC (คณะกรรมการควบคุมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา) เข้าไปตรวจสอบบริษัทผู้สอบบัญชีในจีนที่ทำการตรวจสอบบัญชีของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นในสหรัฐ ซึ่งในโลกนี้มีที่ปฏิเสธอยู่เพียง 2 ประเทศคือ จีน และ เบลเยี่ยม ฝ่ายสหรัฐเข้าใจว่าการจดทะเบียนในตลาดหุ้นในสหรัฐของบริษัทจีนทำให้พวกเขาได้ประโยชน์จากการระดมทุนในสหรัฐโดยการขายหุ้นเพิ่มทุนมหาศาล ใช่ บริษัทจีนอาจจะระดมทุนได้มาก แต่ไม่ใช่ที่สหรัฐเพียงแห่งเดียวซึ่งมีบริษัทต่างประเทศจดทะเบียนประมาณ 15% แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทต่างประเทศจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอนกว่า 20% ดังนั้น สหรัฐไม่ได้มีอำนาจผูกขาดการระดมทุนของบริษัทต่างชาติ
นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องเผชิญ ไม่ได้มาจากบริษัทต่างประเทศเพียงด้านเดียว แต่ยังมาจากบริษัทสัญชาติอเมริกันที่มีจำนวนมากกว่ามากนัก ดังตัวอย่างที่ Benson, Bromwich, Litan และ Wagenhofer (2003) ได้สาธยายไว้ในหนังสือ Following the Money: The Enron Failure and the State of Corporate Disclosure พร้อมทั้งได้ระบุลงไปชัดเจนว่าสาเหตุแห่งความเสี่ยงของบริษัทจดทะเบียนอย่าง Enron ที่มีต่อนักลงทุนอยู่ที่ SEC ที่ทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ต่อการควบคุมกำกับ ทั้งบริษัทจดทะเบียนและบริษัทผู้สอบบัญชี การไล่เบี้ยของ SEC เอากับบริษัทจีนจึงถือได้ว่าเป็น 2 มาตรฐาน อย่าลืมว่า Market Capitalization Value ของบริษัทจีนรวมประมาณ 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่มูลค่าตลาดรวมของ NYSE อยู่ที่ 30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น SEC จึงควรจะเก็บกวาดบ้านของตนเองให้เรียบร้อยมากกว่า
บริษัทจีนเองก็คงจะไม่ต้องง้อ NYSE มากนัก เพราะว่านอกจากมีตลาดหุ้นสำคัญๆ ของโลกในประเทศอื่นแล้ว เงินที่ระดมทุนก็ได้ไปแล้ว การ Delisting บริษัทจีนจะได้อะไร? อีกทั้งช่องทางทำมาหากินของบริษัทในนิวยอร์คที่ช่วยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนก็จะหดหายไปมาก ในขณะที่จำนวนบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐลดหายไปจาก 7,322 บริษัทในปี 1996 เหลือเพียง 3,671 บริษัทในปัจจุบัน จำนวน IPOs ลดลงจากปีละ 845 รายในปี 1996 เหลือเพียง 128 รายในปี 2016 ทั้งนี้ เพราะว่าบริษัทอเมริกันเองก็ตระหนักถึงภาระต้นทุนของการเป็นบริษัทจดทะเบียนและไม่อยากเปิดเผยข้อมูลของบริษัทเหมือนกัน ใครได้? ใครเสีย?
แล้วเจ้าของความคิดนี้มาจากไหน? แน่นอน Larry Kudlow ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจทำเนียบขาว Matt Pottinger หมายเลข 2 ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ สายเหยี่ยวในเรื่องจีน Peter Navarro ที่ปรึกษาทางการค้าทำเนียบขาว บุคคลเหล่านี้ไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ยกเว้น Kudlow มีแต่ความเกลียดชังและกำปั้นทุบดิน Kudlow เองก็มีเพียงปริญญาตรีทางเศรษฐศาสตร์ แล้วจะเข้าใจอะไร? นอกเสียจากคิดว่า การลงทุนของสหรัฐเป็นการส่งเสริมให้พยัคฆ์ร้ายคอมมิวนิสต์ติดปีกและกลายเป็นคู่แข่งของสหรัฐทั้งเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมี Steve Bannon อดีตหัวหน้ายุทธศาสตร์ทำเนียบขาวที่ทรั้มป์ไล่ออก จบโรงเรียนทหารและ MBA กับ Kyle Bass จบปริญญาตรี Finance และเก็งกำไรในบริษัทลงทุน ทั้งหมดนี้เป็นพวกหัวรุนแรงที่ต้องการกำจัดจีนให้หมดไปจากโลกนี้
แล้วแนวคิดของบุคคลเหล่านี้บรรเจิดเพียงใด? มาตรการของพวกเขาจะสร้างความเสียหายให้จีนเพียงใด? การตอบคำถามพวกนี้ก็ต้องดูว่านักลงทุนต่างประเทศมีบทบาทเพียงใดในตลาดทุนของจีน Cerutti and Obstfeld (2018) แห่ง IMF ได้ศึกษาภาวะการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในจีน ปรากฎว่าในช่วงปี 2014-2017 สัดส่วนของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นอยู่ในระหว่าง 1.5-2.4% และในตลาดพันธบัตร 1.3-1.9% เท่านั้น ตัวเลขข้างต้นเป็นของทุกประเทศโดยรวม แต่ตัวเลขของนักลงทุนอเมริกันโดยเฉพาะจะน้อยกว่านั้นลงไปอีก พวกเขายังได้ประมาณการต่อไปว่า ถ้าหากจีนเปิดตลาดหุ้นและพันธบัตรให้เสรีขึ้นแก่ต่างประเทศแล้ว exposure ของตลาดพันธบัตรจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ในขณะที่ exposure ของตลาดทุนอาจจะอยู่ในระดับปานกลาง ดังนั้น ความเสียหายที่จีนจะได้รับจากกลุ่มหัวรุนแรงข้างต้นคงจะอยู่ในวงจำกัดและไม่เป็นที่สมหวังของพวกเขา
ข้อมูลที่สนับสนุนอาจจะไม่มี แต่น่าเชื่อเหลือเกินว่า จีนได้เตรียมตัวต่อการบ่อนทำลายของชาติตะวันตกมาตั้งแต่ต้นและจะไม่เปิด exposure ในขณะที่ตัวเองไม่พร้อม