ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับซินเจียงและอุยกูร์(ตอน 1)
เมื่อปี2019 สภาคองเกรส สหรัฐ เห็นชอบให้ผ่านร่าง S.178 เป็นรัฐบัญญัติประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวมุสลิมชนเผ่าที่เรียกว่า Turkicมณฑลซินเจียง
รัฐบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ครอบคลุมการสอดแนมและคุมขังชาวมุสลิม Turkic ชนเผ่าอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ กว่าล้านคนของสาธารณรัฐประชาชนจีนในมณฑลซินเจียง อันเป็นผลสืบเนื่องจากที่สภาคองเกรสได้สิ่งค้นพบเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ
ผู้คนในประเทศอื่นๆ ฟังเรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว คงจะอดสงสัยไม่ได้ว่าสหรัฐเอาพื้นฐานอะไรมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น แต่ที่จริงแล้วมาตรา 1-4 ในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐได้ให้อำนาจไว้ให้ฝ่ายตุลาการใช้กฏหมายระหว่างประเทศในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชนก็เป็นหนึ่งในนั้น ประเด็นนี้คงหมดข้อสงสัยไปได้
ประเด็นถัดมาคือ รัฐบัญญัติดังกล่าวข้างต้นได้รับความเห็นชอบบนพื้นฐานของสิ่งค้นพบที่สภาคองเกรสได้มา ตัวอย่างหนึ่งที่ใช้เป็นหลักฐานของสิ่งค้นพบนั้นก็คือ บันทึกการรับฟังความคิดเห็นของสภาคองเกรสหมายเลข 164 ของสมัยประชุมสภาคองเกรสที่ 115 เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2018 ของคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ โดยมี Rep. Yoho จากรัฐฟลอริดาเป็นประธาน บันทึกดังกล่าวเริ่มต้นว่า มณฑลซินเจียงคือ East Turkestan ถัดมา บันทึกกล่าวว่ากองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนผนวกดินแดนซินเจียงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยการรุกรานในปี 1949 บันทึกนี้เปรียบเทียบรัฐบาลจีนกับ Hitler และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน Rwanda หรือ Sudan และระบุว่า จีนพยายามเจือจางให้ประชากรชนเผ่ามีสัดส่วนลดลง โดยการเพิ่มประชากรชาวฮั่นจากประมาณ 4% ในปี 1949 เป็น 40% ในปัจจุบัน นอกจากนี้มีการเชิญนักวิจัย 2 ท่าน จากมหาวิทยาลัยคนหนึ่งและอิสระคนหนึ่งที่เขียนบทความเกี่ยวกับซินเจียง เนื้อหาส่วนใหญ่ก็ซ้ำๆ กัน กล่าวถึงการคุมขัง การสอดแนม การทารุณกรรมและการจับเข้าอบรมที่กระทำต่อชนเผ่า Turkic แต่ที่น่าสังเกตุคือ เอกสารอ้างอิงเกือบทั้งหมดเป็นของฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะ Amnesty International เป็นหลัก บทความของ Zenz พยายามใช้ภาษาจีนกำกับเมื่อพูดถึงการอบรม แต่เห็นได้ชัดว่าความเข้าใจในภาษาจีนยังไม่ลึกซึ้งพอและพยายามแปลความหมายเอนเอียงไปในทางลบในทำนองขู่เข็ญ บังคับ หรือ ล้างสมอง ทั้งๆ ที่ศัพท์จริงๆ อาจไม่ได้เป็นไปในทางนั้น เช่น การอบรมเป็นการฝึกอาชีพจริง เพื่อให้ทุกคนมีทักษะพอที่จะทำงานได้
ปัญหาของสหรัฐในการกล่าวหาจีนจึงขึ้นอยู่กับข้อมูลของ Amnesty International ว่าเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด ถ้าหากไม่เป็นจริง ก็จะเป็นการกล่าวด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ
ทางด้านของจีนนั้น มีการออกหนังสือปกขาว “ว่าด้วยปัญหาทางประวัติศาสตร์บางประการของซินเจียง” เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2019 หนังสือฉบับนี้แบ่งเป็น 7 ตอน ตอนแรกกล่าวถึงซินเจียงว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจีนที่แบ่งแยกมิได้ จีนเรียกดินแดนนี้ว่า ซีอวี่(西域) รัฐบาลกลางของจีนแต่โบราณปกครองด้วยความกระชับบ้าง หละหลวมบ้าง แล้วแต่อำนาจของราชวงศ์ในแต่ละช่วงเวลาที่สำคัญได้แก่ ราชวงศ์ สุย ถัง หมิง เหวียนและ ชิง ประเด็นที่กล่าวถึงนี้เป็นเรื่องของการแสดงอำนาจอไตยเหนือดินแดน แต่ว่าประเด็นหลักของข้อกล่าวหาสหรัฐเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ประเด็นอำนาจอธิปไตยเป็นเรื่องรอง
ตอนที่ 2 ของหนังสือปกขาวกล่าวถึง ความไม่มีอยู่จริงของ East Turkestan. Turke มาจากชื่อชนเผ่าที่จีนเรียกว่า ถูเจี้ย (突厥) ที่เรืองอำนาจในพื้นที่บริเวณซินเจียงปัจจุบัน ในช่วงศตวรรษที่ 6-8 แต่ถูกราชวงศ์ถังปราบจนสิ้นซากหายไปจากเวทีประวัติศาสตร์ ส่วน Turkic ที่ใช้ในปัจจุบันนี้หมายถึงภาษาที่ใช้กันในหมู่ชนเผ่าตั้งแต่ซินเจียง เอเซียกลาง ไปจนถึงอิหร่านและตุรกี แต่ว่าประเด็นนี้อีกเหมือนกันที่ฝรั่งเขาไม่สนใจ เขาจะเรียกชนเผ่าที่อยู่ในบริเวณซินเจียงปัจจุบันว่า East Turkestan อาจจะด้วยโง่จริงหรือแกล้งโง่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก็ได้
ตอนที่ 3 กล่าวถึงองค์ประกอบของประชาชนในซินเจียงที่มีถึง 56 ชนเผ่า กล่าวคือครบทุกชนเผ่าที่มีอยู่ในจีน การที่ Rep. Yoho กล่าวว่า จีนพยายามอพยพชาวจีนเข้าไปในซินเจียงก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ถ้าหากดูตามตัวเลขแล้ว อาจจะจริงที่ชาวจีนมีสัดส่วนถึง 40% ของประชากรในซินเจียง แต่ในความเป็นจริงชาวจีนไม่ได้ไปเจือจางชนกลุ่มน้อย กล่าวคือ ซีกตะวันตกของซินเจียงประกอบด้วยชนเผ่าอุยกูร์และอื่นๆ ในช่วง 70-90% แต่ซีกตะวันออกประกอบด้วยชาวจีนฮั่นและคาซัคอย่างละครึ่ง การเจือจางจึงไม่เป็นความจริง ในขณะเดียวกัน ชาวมุสลิมเองก็มีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปในมณฑลอื่นๆ ของจีนด้วย โดยมีมณฑลที่มีประชากรชาวมุสลิมเกินกว่า 1 ล้านคนอีก 5 มณฑลคือ หนิงเซี่ย กันซู่ ชิงไห่ หวินหนาน และเหอหนาน นอกเหนือไปจากซินเจียงที่มีชาวมุสลิม 13.4 ล้านคน นั่นคือเนื้อหาของตอนที่ 4
ตอนที่5 6 และ 7 กล่าวถึงการหลั่งไหลและการรับเอาวัฒนธรรมระหว่าง ซีอวี่และที่ราบภาคกลางของจีน (中原)พื้นที่บริเวณซินเจียงเริ่มใช้ภาษาจีนเป็นภาษาราชการตั้งแต่ในราชวงศ์ฮั่น เครื่องดนตรีผีผา (琵琶) และเชียงตี๋ (羌笛) เข้ามาในราชสำนักจีน ชาวพื้นเมืองมาสอบในเมืองหลวงและได้รับการคัดเลือก นี่คือสิ่งที่เกิดก่อนการเผยแพร่ศาสนาอิสลามเข้ามาในซินเจียงในศตวรรษที่ 10 แม้กระนั้นวัฒนธรรมจีนก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของชาวซินเจียง แต่ฝ่ายฝรั่งคงไม่สนใจประเด็นย่อยนี้ ในช่วงท้ายๆ หนังสือนี้ได้แตะถึงการเข้ามาแทรกแซงของประเทศตะวันตกเพื่อให้เกิดความแตกแยกของซินเจียงออกจากส่วนหนึ่งของจีน ตั้งแต่ยุคการล่าอาณานิคมจนถึงปัจจุบันนี้ ทำให้ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่า การออกรัฐบัญญัติครั้งนี้ก็คงเป็นความพยายามอีกส่วนหนึ่ง
แม้ว่าซินเจียงจะอยู่ภายใต้การปกครองจากส่วนกลางของจีนในประวัติศาสตร์เป็นช่วงๆ เมื่อราชวงศ์ที่อยู่ในอำนาจเข้มแข็งเพียงพอ แต่ก็มีช่วงที่ห่างออกไป ในช่วงต้นของราชวงศ์ชิง ซินเจียง และบางส่วนของมองโกเลีย อยู่ภายใต้การดูแลของอาณาจักร Zhungar ในสมัยของพระจักรพรรดิเฉียนหลง Zhungar เกิดการแย่งชิงอำนาจกันภายในหลายครั้ง ในระหว่างปี 1745-1759 ราชวงศ์ชิงก็สามารถปราบปรามได้ทุกครั้ง ในปี 1826 หรือรัชสมัยของเต้ากวงปีที่ 6 Jahaghir ชาวอุซเบคพร้อมด้วยสายลับชาวอังกฤษ 20 คน ได้บุกเข้ามาที่ซินเจียงตอนใต้ หลังจากนั้น พวกอุซเบคก็ยังรุกเข้ามาอีกแต่ก็ถูกปราบปรามจนสิ้น เฉียนหลงได้ทรงตั้งชื่อบริเวณนี้ว่า ซินเจียง (新疆) เป็นครั้งแรกซึ่งไม่ได้แปลว่าดินแดน (疆) ใหม่ (新) แต่หมายถึง ดินแดนเก่าที่กลับมาสู่แผ่นดินแม่ใหม่ (故土新归)ฝรั่งอาจเข้าใจผิดว่า จีนเพิ่งได้ดินแดนนี้มาในศตวรรษที่ 18 นี้เอง
ในศตวรรษที่ 16 หลังจากที่พระเจ้าซาร์คืบเข้ามาในไซบีเรียได้หมดแล้ว ก็เริ่มหันมาพุ่งเป้าที่ชายแดนของชิงและบังคับให้ทำสัญญาปักกิ่งจีน-รัสเซียในปี 1860 หลังจากนั้นยังใช้กองกำลังพลเรือนติดอาวุธยึดเอาพื้นที่ของจีนประมาณ 440,000 ตร.กม.จนราชวงศ์ชิงเหลือเพียงที่มั่นเดียวในซินเจียงคือ ถ่าเฉิง (塔城)
การคุกคามของรัสเซียทวีความรุนแรงขึ้น ภายใต้บริบทที่ราชวงศ์ชิงต้องประสบกับสงครามฝิ่นครั้งแรกในปี 1840 และครั้งที่ 2 ในปี 1856 รัสเซียส่งเสริมให้อังกฤษ-ฝรั่งเศสบุกเข้าไปถึงปักกิ่ง เผาผลาญเหวียนหมิงเหวียนจนวอดวายและให้สหรัฐทำตัวเป็นคนกลาง ส่วนรัสเซียก็จะได้บีบบังคับเอาผลประโยชน์จากจีนอย่างเต็มที่
ในช่วงปี 1851-1864 เกิดกบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว และปี 1862-1873 เกิดกบฏมุสลิมในมณฑลส่านซีและกานซู่ แต่เซียงจวิน (湘军) ซึ่งมีจังกั๋วเฟิงเป็นผู้ก่อตั้ง ก็ได้ปราบจนหมดสิ้น Yaqub Beg ชาวอุซเบคถือโอกาสรุกเข้ามาในซินเจียงและตั้งตนเป็น Amir of Kashgar โดยอ้างว่ามีคำร้องขอความช่วงเหลือ รัสเซียถือโอกาสยึดเมืองอีลี่ (伊犁) เพื่อป้องกันไม่ให้ Yaqub จัดตั้งอำนาจปกครองที่ใกล้ชิดอังกฤษ นี่คือเมืองเดียวในซินเจียงที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของ Yaqub อย่างไรก็ตาม Yaqub ยังคงทำสัญญารับความคุ้มครองจากอังกฤษในปี 1874 อังกฤษสนับสนุนปืน Snider Enfield M1853 และ M1856 (บรรจุหน้าและหลัง) รวมกว่า 10,000 กระบอก
[ อ่านตอนจบ ฉบับวันที่ 17 ก.พ.2563 ]